stadium

5 ที่สุดแห่งความทรงจำ ในศึกลูกหนัง “คิงส์คัพ”

1 กันยายน 2568

ศึกลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ของไทยและมีเกียรติประวัติยาวนานคือฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” โดยจัดครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 ถือเป็นทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลที่เก่าแก่เป็นอันดับสองของเอเชีย รองจากฟุตบอลฉลองเอกราช “เมอร์เดก้า” ของมาเลเซีย

 

มาถึงการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์ คัพ” ครั้งที่ 51 กำหนดการแข่งขันระหว่างวันที่ 4-7 กันยายน พ.ศ. 2568 ณ สนามกลีบบัว จังหวัดกาญจนบุรี ทีมชาติไทยตั้งเป้าป้องกันแชมป์ให้ได้ หลังคว้าแชมป์ล่าสุดใน “ครั้งที่ 50” สนามติณสูลานนท์ จังหวัดสงขลา

 

ก่อนศึกสำคัญจะเริ่มขึ้นครั้งแรกในภาคตะวันตก “เมืองกาญจน์” มาย้อนรำลึก 5 ความทรงจำและความยิ่งใหญ่ของฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์ คัพ”

 

 

 

ทีมชาติไทย ดวลญี่ปุ่นชุดใหญ่ และ “ลูกไขว้” ในตำนาน

 

ความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น มีประวัติศาสตร์ยาวนาน รวมถึงการแข่งขันกีฬา แต่ต้องยอมรับความจริงว่ากีฬาญี่ปุ่นก้าวไกลเกินเอเชีย แต่ไปถึงระดับโลก รวมทั้ง “ฟุตบอล” ใน “คิงส์ คัพ” ครั้งที่ 28 พ.ศ. 2540 สมาคมฟุตบอลฯ ในยุคนั้น สร้างความฮือฮาเมื่อเทียบเชิญ “ซามูไรบูลส์” ทีมชาติญี่ปุ่นมาทำการแข่งขัน ณ สนามศุภชลาศัย ถือเป็นเกมที่แฟนลูกหนังรอคอย

 

ทีมชาติไทยในยุคนั้น คุมทัพโดย “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล อดีตนักเตะทีมชาติผู้สร้างตำนานแข้งไทยไปบุกเบิกเวทีบุนเดสลีก้าของเยอรมัน ส่วนนักเตะชุดนั้นมีตัวท็อปแห่งยุคคือ “ดำอุตรดิตถ์” นที ทองสุขแก้ว, “ดาราเอเชีย” ดุสิต เฉลิมแสน, “รถถังปากน้ำโพ” เสนาะ โล่งสว่าง, “อัลเฟรด” เนติพงศ์ ศรีทองอินทร์ ดาวยิงลูกครึ่งฝรั่งเศส และ “เดอะตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน

 

ขณะที่ทีมชาติญี่ปุ่น ชุดนั้น นำทัพมาโดย มาซามิ อิฮาร่า, ฮิโรชิ นานามิ และ “คิงส์คาซู” คาซูโยชิ มิอูระ ดาวเตะระดับซูปเปอร์สตาร์ของเอเชีย 

สิ้นสัญญานนกหวีดญี่ปุ่นรุกเข้าใส่ไทยตั้งแต่ต้นเกม แต่แนวรับของเจ้าถิ่นช่วยกันสกัดอย่างเหนียวแน่น จบครึ่งแรกไม่มีประตู กระทั่งครึ่งหลัง นาทีที่ 66 ทัพนักเตะแดนอาทิตย์อุทัยทะลวงทีมชาติไทยไปได้ก่อนจาก โชจิ โจ ดาวรุ่งทีมชาติเวลานั้น ก่อนกลายเป็นหนึ่งขุนพลทีมชาติญี่ปุ่นชุดประวัติศาสตร์ลุยฟุตบอลโลก 1998 เป็นครั้งแรก

 

หลังเสียประตูไปก่อนในบ้าน “โค้ชเฮง” วิทยา แก้เกมด้วยการส่งกองหน้าดาวยิง “เดอะตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ในวัย 38 ที่นั่งเป็นตัวสำรองลงสนาม และแล้วใน 10 นาทีต่อมากองหน้าเจ้าของฉายา “เพชฌฆาตหน้าหยก” สร้างเสียงเชียร์ให้กระหึ่มเมื่อจ่ายบอลให้ “อัลเฟรด” เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ ส่งลูกบอลตุงตาข่ายในนาทีที่ 77 ตีเสมอให้ทีมชาติไทย สนามศุภชลาศัยกึกก้องไปด้วยเสียงเชียร์ ทำให้เกมในช่วง 10 นาทีสุดท้ายเข้มข้นดุเดือด สุดท้ายเสมอกันไป 1-1 แบ่งกันไปทีมละแต้ม ถือเป็นเกมแห่งความทรงจำ และเป็นการมาร่วมลงเตะฟุตบอลคิงส์ คัพ ครั้งสุดท้ายของญี่ปุ่น อีกด้วย

 

ใน “คิงส์คัพ” ปีเดียวกันนั้นยังมีความทรงจำจากความสามารถอันเอกอุของ “เดอะตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ในเกมพบกับทีม “ผีดิบ” โรมาเนีย โดยทีมชาติไทยเฉือนชัย 1-0 จากลูกยิงเหนือความคาดหมายของ “ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน” ในจังหวะที่ “เสนาะ โล่งสว่าง” จ่ายบอลมาหน้าประตูที่ดูเหมือนจะย้อนหลัง ทำให้ยิงด้วยเท้าขวาไม่ถนัด แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่า เดอะตุ๊ก ในวัยย่างเข้า 38 ปี จะใช้ “ลูกไขว้” ยิงด้วยเท้าซ้ายเข้าไปอย่างสวยงาม ทำให้ไทยได้เข้าไปชิงชนะเลิศกับสวีเดน ก่อนจะแพ้ไป 2-0 

 

 

“แซมบ้า” บราซิล ขนนักเตะระดับโลกชุดใหญ่มาไทย

 

ใครจะคาดคิดว่ายอดนักเตะระดับโลกในเวลานั้น อย่าง ริวัลโด้, โรนัลดินโญ่, เอเมอร์สัน, ดีด้า, คาฟู, โรแบร์โต้ คาร์ลอส, จูนินโญ่ และ โจวานี่ เอลเเบร์ ดาวเตะทีมชาติ บราซิล ชุดใหญ่มาดวลเกือกกับนักเตะไทย แต่ใน ครั้งคัพ ครั้งที่ 31 ในปี พ.ศ. 2543 เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นแล้ว “แซมบ้า” บราซิล ชุดใหญ่ แม้ในเนื้อแท้แล้ว แจ้งส่งเป็นบราซิล ชุด U20 แต่ในเกมนัดสองของรายการ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2543 ถือเป็นแมตช์พิเศษที่ทีมอันดับหนึ่งของโลก เจ้าของแชมป์โลก 4 สมัยในเวลานั้น อย่าง “บราซิล” ให้เกียรติทีมชาติไทยส่งทีมชุดใหญ่มาร่วมแข่งกับทีมชาติไทยเฉพาะแมตช์นี้ โดยนักเตะนำทัพโดย ริวัลโด้, โรนัลดินโญ่ ตำนานของ “บาร์ซ่า”, เอเมอร์สัน, ดีด้า, คาฟู, โรแบร์โต้ คาร์ลอส หัวใจกองรับของ “รีล มาดริด”, เซ โรแบร์โต้,  จูนินโญ่ เปอร์มันบูร์กาโน่ และ โจวานี่ เอลเเบร์  ดาวยิงจาก “บาร์เยิน มิวนิค”

 

ขณะที่ทีมชาติไทยเรียกตัว "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ดาวดังเวลานั้นบินตรงมาจากสโมสรฮัลเดอร์ฟิล ทีมระดับดิวิชั่น 1 ในประเทศอังกฤษ เพื่อมาลงเล่นเฉพาะเกมนี้เช่นกัน บวกกับชุดดรีมทีมอย่าง เทิดศักดิ์ ใจมั่น, ตะวัน ศรีปาน, ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล, นที ทองสุขแก้ว, ดุสิต เฉลิมแสน, พิพัฒน์ ต้นกันยา, เศกสรรค์ ปิตุรัตน์ และ สุธี สุขสมกิจ คุมทัพโดย ปีเตอร์ วิธ กุนซือชาวอังกฤษ 

 

ผลการแข่งขันเกมนี้ ทีมชาติไทยโดนบราซิล ไล่ถล่มพังพาบคาบ้านถึง 0-7 จากการทำประตูของดาราดังอย่าง ริวัลโด้ 2 ประตู ในนาทีที่ 12 และ 40, โรนัลดินโญ่ นาทีที่ 41, เอเมอร์สัน อีก 2 ประตูในนาทีที่ 49  และ 85 ก่อน โรเก้ จูเนียร์ จะมาบวกเพิ่มนาทีที่ 73 ปิดท้ายด้วย มาริโอ ยาร์เดล นาทีที่ 80

แม้จะพ่ายยับในศึกถ้วยพระราชทาน แต่เป็นเกมที่สนุกแฟนบอลพอใจเพราะได้เห็นการทำประตูของนักเตะดัง ผู้ชมได้เห็นฝีเท้าของนักเตะระดับแชมป์โลกตัวเป็นๆ แบบจุใจ 

 

อย่างไรก็ตาม แม้ทีมชาติไทยจะแพ้ในแมตซ์นั้น แต่สุดท้ายก็ผ่านไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ถล่ม ฟินแลนด์ ถึง 5-1 จากการทำแฮตทริคของ อนุรักษ์ ศรีเกิด และอีกสองประตูจาก พิพัฒน์ ต้นกันยา และ ธนัญชัย บริบาล สามารถคว้าแชมป์คิงส์ คัพ ได้ในที่สุด

 

 

จุดกำเนิด “ดรีมทีม” ไทยชนะ “อินทรีเหล็ก” เยอรมัน

 

ความทรงจำในศึกลูกหนัง คิงส์ คัพ ครั้งที่ 25 พ.ศ. 2537 เป็นยุคเฟื่องฟูในเกมลูกหนัง ช่วงเวลานั้นทีมชาติไทย ส่ง 2 ทีม ส่งลงทำการแข่งขัน นั่นคือ ทีมชาติไทย เอ และ ทีมชาติไทย บี ภายใต้การนำของ “บิ๊กหอย” ธวัชชัย สัจจกุล เพื่อเตรียมทีมสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิก โดยเรียกกันว่า “สิงห์ดรีมทีม” มีนักเตะ ดาวรุ่งในวัยเพิ่งผ่านเลขสอง อาทิ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ตะวัน ศรีปาน, ดุสิต เฉลิมแสน, ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล และ โกวิทย์ ฝอยทอง โดยมี “โค้ชจอมฟิต” ชัชชัย พหลแพทย์ เป็นกุนซือ

 

ส่วนทีมชาติไทยชุดใหญ่ นำโดย นที ทองสุขแก้ว, อรรถพล บุษปาคม, ชัยยง ขำเปี่ยม, กฤษดา เพี้ยนดิษฐ์ และ “สิงห์โตเผือกแห่งปากน้ำโพ” วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ 

 

ผลปรากฏทีมชาติไทย เอ พลาดท่าตกรอบรองชนะเลิศ ต้องไปชิงอันดับ 3 กับ โรเตอร์ โวลโกกราด สโมสรจากรัสเซีย ในขณะที่ทีมชาติไทย บี ชุดนักเตะพลังหนุ่มกลับสามารถผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ โดยไปพบ ทีมชาติเยอรมนี ตัวแทนสุดแกร่งของทวีปยุโรป แม้ไม่ใช่ชุดใหญ่ แต่เป็นชุดแกร่งที่มาในนามทีมชาติ โดยใช้นักเตะจากศึกบุนเดสลีก้า มาจากทีมชาลเก้ 04 ถึง 7 คน ผสมกับตัวสำรองของ “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 

 

ผลการแข่งขัน “ดรีมทีม” สร้างตำนานถล่มเอาชนะ ทีมชาติเยอรมนี 4-0 จากการทำประตูของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เบิกร่องนาที 58, โกวิทย์ ฝอยทอง นาที 68 , สุชิน พันธ์ประภาส นาที 70, และ ตะวัน ศรีปาน นาที 73 พาทีม “ดรีมทีม” คว้าแชมป์ฟุตบอลคิงส์คัพ ครั้งที่ 25 ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่

ถือเป็นการคว้าแชมป์ชูถ้วยพระราชทานครั้งสุดท้ายของทีมชาติไทย ณ สนามศุภชลาศัย 

 

 

การครองแชมป์พระราชทาน นอกเมืองหลวง ครั้งแรก

 

หลังจากประเทศไทยประสบภัยครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนคือเหตุการณ์ “สึนามิ” หลายจังหวัดในฝั่งอันดามันเสียหายอย่างหนัก ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน เมื่อเหตุการณ์สงบทุกฝ่ายจึงร่วมกันฟื้นฟูทั้งสถานที่และสภาพจิตใจ และหนึ่งในแนวทางนี้คือกีฬา

 

หนึ่งในทัวร์นาเม้นต์สำคัญ คือฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์ คัพ” ครั้งที่ 36 พ.ศ.2548 จึงย้ายจากสนามศุภชลาศัย มาจัดสนามต่างจังหวัดครั้งแรกที่สนามสุระกุล จังหวัดภูเก็ต 

 

การแข่งขันครั้งนั้นมี 4 ชาติเข้าร่วม คือ ไทย, ลัตเวีย, เกาหลีเหนือ และ โอมาน ในรูปแบบพบกันหมดเพื่อจัดอันดับบทสรุปไทยได้ที่ 3 แชมป์คือ “ลัตเวีย”​

จากนั้นมาก็มีการตระเวณจัดการแข่งขันในสนามต่างจังหวัดอีกหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องของผลการแข่งขัน

 

ครั้งที่สองของสนามภูธรคือใน คิงส์คัพ ครั้งที่ 39 ปี พ.ศ. 2552 สนามสุระกุล จังหวัดภูเก็ต เป็นเจ้าภาพอีกครั้งผลคือไทยได้รองแชมป์ หลังเสมอ เดนมาร์กในเกม 2-2 ก่อนแพ้จุดโทษ 3-5

 

การจัดต่างจังหวัดครั้งที่ 3 ในคิงส์คัพ ครั้งที่ 40 ปี พ.ศ.2553 ที่สนามเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา ครั้งแรกในแดนอิสาน ไทยจบอันดับ 3 ส่วนแชมป์ยังคงเป็น เดนมาร์ก

​ครั้งที่ 4 ใน คิงส์คัพ ครั้งที่ 42 ปี พ.ศ.2555 ที่สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี⁣⁣⁣⁣ จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งแรกของภาคเหนือ อีกครั้งที่ไทยจบอันดับ 3 ส่วนแชมป์เป็น สวีเดน

 

ครั้งที่ 5 คิงส์คัพ ครั้งที่ 43 ปี พ.ศ.2556 กลับมาที่สนามเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา อีกครั้ง คราวนี้ไทยได้รองแชมป์ ส่วนแชมป์เป็น เกาหลีใต้ 

 

ครั้งที่ 6  คิงส์คัพ ครั้งที่ 47 ปี พ.ศ.2562 มาจัดที่สนามบุรีรัมย์ สเตเดียม จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นอีกครั้งที่ภาคอิสานได้รับหน้าเสื่อ แต่ผลไม่ดีอย่างที่หวังโดยเฉพาะการแพ้ เวียดนาม 0-1 จบที่อันดับ 4 โดยแชมป์เป็น กือราเซา

ครั้งที่ 7 คิงส์คัพ ครั้งที่ 48 ปี พ.ศ.2565 หลังสถานการณ์โควิด ย้ายมาจัดที่สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี⁣⁣⁣⁣ จังหวัดเชียงใหม่ ไทยยังไปไกลสุดแค่อันดับ 3 แชมป์เป็น ทาจิกิสถาน

ในครั้งที่ 8 ของการจัดแข่งขันต่างจังหวัด คิงส์คัพ ครั้งที่ 49 ปี พ.ศ. 2566 จัดที่สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี⁣⁣⁣⁣ จังหวัดเชียงใหม่ อีกครั้ง โดยในปีนี้ไทยได้รองแชมป์หลังเสมออิรักในเกม 2-2 ก่อนแพ้จุดโทษ 4-5

 

กระทั่งมาถึงครั้งล่าสุด ในคิงส์คัพ ครั้งที่ 50 ปี พ.ศ.2567 ณ สนามติณสูลานนท์⁣⁣⁣⁣ จังหวัดสงขลา การจัดสนามต่างจังหวัดเป็นครั้งที่ 9 ยังยึดรูปแบบ 4 ชาติเข้าร่วม ประกอบด้วย ไทย, ซีเรีย, ทาจิกิสถาน และ ฟิลิปปินส์ เป็นการประกบคู่ในรอบรองชนะเลิศ และหาผู้ชนะเข้ารอบชิงชนะเลิศ ขณะที่ผู้แพ้ไปชิงอันดับ 3

 

นัดแรกในรอบรองชนะเลิศ ไทย ชนะ ฟิลิปปินส์ 3-1 เข้าชิงชนะเลิศกับ ซีเรีย ก่อนคว้าแชมป์ได้สำเร็จโดยการเฉือนเอาชนะไป 2-1 จากประตูชัยช่วงทดเจ็บของ “กัปตันเจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์

 

การคว้าแชมป์คิงส์ คัพ ครั้งนี้นอกจากจะเป็นการกลับมาคว้าแชมป์ในรอบ 7 ปี แล้ว ยังเป็นการคว้าแชมป์ถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ครั้งแรกนอกกรุงเทพมหานครอีกด้วย


stadium

author

อนุชิต อินทรสุวรรณ

StadiumTH Content Creator / ผู้เสพติดทุกชนิดกีฬา

โฆษณา