10 มิถุนายน 2568
ผ่านไปแล้วสนามแรกกับวอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ ลีก 2025 รอบแรก สัปดาห์ที่ 1 ผลงานของทีมนักตบลูกยางสาวไทยเก็บมาได้ 3 คะแนน จากผลงานชนะ 1 แพ้ 3 ใน 4 แมตช์แรกที่ประเทศจีน
ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง ยังมีข้อผิดพลาดให้เราต้องนำกลับไปปรับปรุงแก้ไข แต่ทว่าในภาพรวมแต่ละเกมนั้นกลับสะท้อนให้เห็นถึงหลากหลายแง่มุมดี ๆ ออกมาหลายอย่าง เราเห็นเรื่องดีอะไรบ้าง ติดตามไปพร้อมกันที่นี่
เชื่อว่าแฟนวอลเลย์บอลทุกท่านที่ได้ชมการแข่งขันตลอดทั้ง 4 เกมของทีมในสัปดาห์แรก คงจะได้เห็นแล้ว น่าจะพอใจกับรูปแบบการเล่นของทีมกันไม่น้อย ภายใต้การคุมทีมของ “โค้ชอ๊อต” เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร หัวหน้าผู้ฝึกสอน ได้เข้ามาขันให้เกมรับของทีมเหนียวแน่นขึ้นแบบผิดหูผิดตา บอลแรกถือเป็นรายละเอียดที่โค้ชอ๊อตให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกมาแต่สมัยปลุกปั้นทีมตำนานชุด 7 เซียนมาแล้ว เมื่อเกมรับดีเสียยากก็หมายความว่าทีมจะมีโอกาสได้รุกกลับเพื่อทำแต้มด้วยเช่นกัน
นอกจากทักษะการรับบอลเสิร์ฟของนักกีฬาแต่ละคนก็ทำได้ดีขึ้น จะเห็นได้ว่าบอลแรกของทีมสาวไทยมักจะลอยเข้าไปยังพื้นที่เซตเตอร์โซนอยู่เสมอ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการขึ้นเกมรุก ทำให้มือเซตอย่างพรพรรณ เกิดปราชญ์และณัฐณิชา ใจแสน สามารถออกแบบเกมรุกได้ง่ายขึ้น
ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาเราจะแพ้คู่แข่ง 0-3 เซต ไปถึง 3 จาก 4 เกม และเสียไปถึง 10 เซตจาก 13 เซตที่ลงแข่ง แต่จะเห็นได้ว่ามีเพียงแค่ 2 เซตเท่านั้น ที่เราแพ้คู่แข่งด้วยความต่างมากกว่า 3 คะแนน เกิดขึ้นในเซตที่ 2 ที่แพ้ตุรกี 14- 25 และแพ้ ฝรั่งเศส เซต 2 สกอร์ 19-25
ขณะเดียวกันยังเป็นเพียงแค่ 2 จาก 13 เซตที่เราทำคะแนนได้ไม่ถึง 20 แต้ม ดังนั้นภาพรวมถือว่าทีมไทยทำได้ดีทั้งเกมรุกและเกมรับ สามารถยืนหยัดต่อกรกับทีมชั้นนำ (ตุรกี อันดับ 3 โลก, โปแลนด์ อันดับ 4 โลก) ได้อย่างสูสี เพียงแต่ว่าความผิดพลาดในรายละเอียดรวมถึงประสบการณ์ในช่วงปลายเซตที่เราเป็นรองจึงพลาดไปในจุดนี้
แกนหลักของทีมชุดนี้ยังคงเป็นกลุ่มผู้เล่นชุดเดิมกับในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้านักกีฬาทุกคนอยู่ในช่วงที่ฟิตพร้อมสมบูรณ์ เชื่อว่าแฟน ๆ คงคาดเดาได้ว่าผู้เล่น 6 คนแรกที่จะได้ออกสตาร์ทในแต่ละเกมก็จะประกอบด้วย อัจฉราพร คงยศ, หัตถยา บำรุงสุข, พรพรรณ เกิดปราชญ์, ทัดดาว นึกแจ้ง, พิมพิชยา ก๊กรัมย์, ชัชชุอร โมกศรี โดยมี "แป้น" ปินะนุช แป้นน้อย เป็นตัวรับอิสระ
จากรายชื่อที่กล่าวมา มีเพียงชัชชุอรเพียงคนเดียวที่มีปัญหาเรื่องสภาพความฟิต ขณะที่กัปตันเพียวดูจะได้ผลกระทบจากการไม่ได้ลงเล่นในระดับสโมสรแบบต่อเนื่อง ส่วนผู้เล่นคนอื่น ๆ ยังถือว่าทำผลงานส่วนตัวอยู่ในระดับท็อปกันเกือบทั้งหมด
จากสถิติใน 4 เกมแรก ปรากฏว่า พิมพิชญา ก๊กรัมย์ เป็นผู้ทำคะแนนสูงสุดให้กับทีมไทย 63 คะแนน รั้งอันดับ 4 ของกลุ่มผู้เล่นทำคะแนนจากการตบทำแต้ม และอยู่อันดับ 8 ของผู้เล่นที่สกอร์รวมสูงสุด (67 คะแนน)
พรพรรณ เกิดปราชญ์ มือเซตตัวหลักของทีม สามารถตั้งลูกให้เพื่อนทำคะแนนได้ถึง 72 ครั้ง รั้งอันดับ 9 ในตำแหน่งมือเซตดีสุดของสนามแรก
ทัดดาว นึกแจ้ง บอลเร็วตัวเก่งของทีม เป็นอีกคนที่โดดเด่นไม่แพ้ใคร ทำแต้มรวม 33 คะแนน ซึ่งมาจากการบล็อกได้ 7 คะแนน บล็อกเป็นแต้มมากสุดเป็นอันดับ 10 รายการ และยังคิดเป็น 1 ใน 3 จากคะแนนบล็อกที่ไทยทำได้อีกด้วย
ขณะที่ ปิยะนุช แป้นน้อย ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างโดดเด่น สามารถขุดบอลขึ้นมาให้เพื่อนเล่นต่อได้ 38 จาก 56 ครั้ง มากสุดเป็นอันดับ 7 คิดเป็นเปอร์เซ็นต์สำเร็จสูงถึง 67.86%
ปฏิเสธไม่ได้ว่าจากผลงานที่ยอดเยี่ยมของแต่ละคนมาจากการได้เล่นในลีกอาชีพในต่างประเทศไทย โดยเฉพาะฝั่งยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น ดังนั้นยิ่งเรามีนักกีฬาไทยโลดแล่นในลีกอาชีพระดับสูงมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นผลดีกับทีมชาติมากเท่านั้น
ก่อนแข่ง เนชั่นส์ ลีก ในสัปดาห์แรก ทีมลูกยางสาวไทยมีปัญหาหลัก ๆ ในตำแหน่งตัวตีหัวเสา เมื่อ “บุ๋มบิ๋ม” ชัชชุอร โมกศรี ไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อม 100% มีอาการบาดเจ็บติดตัวมาจากเกมในระดับสโมสร ขณะที่ “เพียว” อัจฉราพร คงยศ ก็ได้รับโอกาสในการลงเล่นกับสโมสรค่อนข้างจำกัด จนขาดความต่อเนื่องในการลงสนาม ประกอบกับความกดดันที่แบกไว้จากการรับหน้าที่เป็นกัปตันทีมครั้งแรก กระทบต่อความมั่นใจและฟอร์มการเล่นในสนามอย่างชัดเจน
ในยามที่ 2 มือตบหัวเสาตัวหลักของทีมไม่พร้อม เรากลับได้ “บีม” พิมพิชยา ก๊กรัมย์ บีหลังตัวเก่ง ได้ยกระดับตัวเองจากหนึ่งในขุมกำลังสำคัญของทีม ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในเกมรุกของทีมแบบเต็มตัว โดย 67 แต้มที่เธอทำได้แบ่งเป็น ตบ 63 คะแนน, บล็อก 3 คะแนน และเสิร์ฟเอซอีก 1 คะแนน
นอกจากจะเป็นผู้ทำคะแนนมากสุดให้กับทีมไทยแล้ว รายการนี้ พิมพิชยา ยังได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่หลากหลาย เพราะนอกจากจะได้เล่นในตำแหน่งบีหลังที่เจ้าตัวถนัดแล้ว ยังถูกโค้ชอ๊อตจับมาใช้งานในตำแหน่งหัวเสาด้วยเช่นกัน ซึ่งการที่บีมเล่นหัวเสาได้ราบรื่นแบบไม่มีสะดุด เป็นผลมาจากการที่เธอเปลี่ยนบทบาทมาเล่นตำแหน่งหัวเสาในสโมสรกับ SSC Palmberg Schwerin ที่เจ้าตัวเป็นกำลังสำคัญพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของเยอรมนีมาครองได้ในซีซั่นที่ผ่านมา
การปรับบทบาทในครั้งนี้ ส่งผลดีต่อทีมชาติด้วยเช่นกัน ทำให้โค้ชอ๊อตมีทางเลือกในเชิงแท็กติกเพิ่มมากขึ้น สามารถส่ง “โมเม” ธนัชชา สุขสด ลงมาไขว้กันในตำแหน่งบีหลัง ทำให้เกมรุกของไทยหลากหลายขึ้น ลองนึกภาพตามถ้าหากให้บีมประจำตำแหน่งบีหลังเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ทีมขาดผู้เล่นหัวเสาตัวหลักทั้งเพียวและบุ๋มบิ๋ม เชื่อว่าคู่แข่งจะอ่านทางเกมรุกของเราได้เพิ่มมากขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน
การขาดเพียวและบุ๋มบิ๋มในตำแหน่งหัวเสา ไม่เพียงแต่ทำให้เราได้เห็นศักยภาพที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในตัวพิมพิชยา แต่ยังทำให้เราได้เห็นคุณภาพของนักกีฬาดาวรุ่งในตำแหน่งหัวเสาด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะ “ยูฟ่า” ดลพร สินโพธิ์ กับ “เฟิร์น” วริศรา สีทาเลิศ 2 หัวเสาดาวรุ่งวัย 20 และ 19 ปีตามลำดับ ทั้งคู่แสดงผลงานออกมาได้ถูกใจแฟน ๆ ชาวไทยเป็นอย่างมาก ค่อย ๆ ปรับตัวและทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกครั้งที่ลงสนาม ซึ่ง “ยูฟ่า” ทำไป 34 คะแนนเป็นรองเพียงแค่บีมเท่านั้น ส่วน “เฟิร์น” โดดเด่นในเกมกับฝรั่งเศสที่ทำไปถึง 16 คะแนน สกอร์รวมสนามแรกทำ 26 แต้ม มากสุดอันดับ 4 ของทีม แจ้งเกิดเต็มตัวแบบไม่ต้องไปอำเภอเรียบร้อยแล้ว
ถือเป็นแนวโน้มที่ดีที่เราได้เห็นพัฒนาการของทั้งคู่เพราะนอกจากเกมรับจะดีแล้ว เกมรุก ยูฟ่า ก็มีลูกตบที่ทรงพลังมากที่สุดคนหนึ่งของไทย ขณะที่เฟิร์นแม้ว่าจะสูงเพียง 173 เซนติเมตร แต่ก็มีความใจสู้ กล้าได้กล้าเสีย แม้ยามเผชิญหน้ากับบล็อกที่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าก็ตาม
นอกจากนี้ “ไก่” วิมลรัตน์ ทะนะพันธุ์ บล็อกกลางวัย 23 ปี ก็เป็นอีกคนที่ทำผลงานได้ถูกใจแฟน ๆ 23 คะแนนที่เธอทำได้มมาจากบล็อกได้ 5 แต้ม คิดเป็น 1 ใน 4 ของแต้มบล็อกที่ไทยทำได้สัปดาห์แรกอีกด้วย
ความพ่ายแพ้ต่อทีมชาติตุรกีและโปแลนด์สองทีมระดับ top 4 ของโลกไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะคู่แข่งนั้นเหนือกว่าเราในทุกด้านอยู่แล้ว แต่การปลดล็อกเก็บชัยชนะนัดแรกได้ในเกมกับฝรั่งเศสนัดสุดท้าย หลังจากที่แพ้มาใน 3 เกมแรก กอปรกับภาพรวมที่ถือว่าทำได้ดี และมีพัฒนาการขึ้นเรื่อย ๆ น่าจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักกีฬาไทยทุกคนไม่น้อยก็มาก
คราวนี้มาดูคู่แข่งในสัปดาห์ที่ 2 กันบ้าง มีอีก 4 เกมให้ได้ติดตามเชียร์กัน โดยทีมไทยอันดับ 14 ของโลก จะต้องพบกับทีมฟอร์มโหดอย่าง อิตาลี ทีมอันดับ 1 ของโลก และญี่ปุ่น ทีมอันดับ 5 ของโลก ซึ่งเป็นสองทีมที่ยังไร้พ่ายอยู่ในขณะนี้ คว้าชัยชนะได้แบบ 100%
อิตาลี นั้นผ่านโปรแกรมหนัก ๆ อย่างสหรัฐฯ, บราซิล 2 ทีมใหญ่มาได้แบบไม่มีฟกช้ำ ส่วนสาวญี่ปุ่นพวกเธอเป็นทีมเดียวที่ยังไม่เสียแม้แต่เซตเดียวให้กับคู่แข่งในทัวร์นาเมนต์นี้
นอกจากนั้นนักตบลูกยางสาวไทย ยังมีโปรแกรมพบกับ เช็กเกีย ทีมอันดับ 13 ของโลก ทีมน้องใหม่เนชั่นส์ ลีก ซีซั่นนี้ รวมถึง บัลแกเรีย ทีมอันดับ 19 ของโลก ซึ่งทั้งสองทีมมีสถิติชนะ 2 แพ้ 2 เท่ากัน นั่นหมายถึงว่า 4 เกมในสัปดาห์ที่ฮ่องกง ทีมสาวไทยจะเผชิญหน้าพบกับทีมที่มีผลงานดีกว่าทั้งหมด
อย่างไรก็ตามหากมองดูตามเนื้อผ้าแล้ว งานยากสุด ๆ คือเกมกับอิตาลีและญี่ปุ่น ส่วนการเจอกับบัลแกเรียและเช็กเกีย แม้ว่าผลงานของทีมสาวไทยจะเป็นรอง แต่เชื่อว่าด้วยขุมกำลังและฟอร์มการเล่นแบบนี้ มีโอกาสไม่น้อยที่เราจะเก็บชัยชนะเพิ่มได้อีกสองแมตช์
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงมุมมองที่เราได้เห็นจากเกมในสัปดาห์แรกเท่านั้น หลังจากนี้ทุกทีมจะมีเวลาสำหรับเตรียมความพร้อมอีกประมาณกว่าหนึ่งสัปดาห์ เพื่อปรับปรุงข้อบกพร่องของตนเอง น่าสนใจว่าในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ โค้ชอ๊อตจะผสานนักกีฬาชุดนี้ให้เข้ากันได้มากขึ้นได้ขนาดไหน รวมถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงขุมกำลังหรือไม่ ติดตามกันได้ที่ STADIUMTH
TAG ที่เกี่ยวข้อง