stadium

"ชีวิตที่เหมือนรถไฟเหาะ" แสงมณี ส.สมานการ์เม้นท์

30 พฤษภาคม 2568

ชีวิตบางคนก็เหมือนเดินบนเส้นตรง แต่สำหรับ “แสงมณี ส.สมานการ์เม้นท์” มันคือรถไฟเหาะตีลังกาที่ไม่มีวันหยุด ขึ้นสุดแบบไม่มีใครฉุดทันตั้งแต่ยังไม่พ้นวัยประถม ฉายา “ทารกเงินล้าน” ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เพราะเขาคือของจริงที่ใครๆ ก็ต้องยกมือให้ 

 

ไม่ใช่แค่ชกมันส์ทุกไฟต์ แต่ยังเป็นเจ้าของรางวัล "นักมวยไทยยอดเยี่ยม" ถ้วยพระราชทาน ตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี อายุน้อยแต่ค่าตัวไม่น้อย! ทว่าเบื้องหลังแสงไฟคือความพลิกผันที่เล่นงานเขาจนต้องหยุดเส้นทางมวยไปนานปี แล้ววันนี้เขากลับมาอีกครั้งพร้อมเป็นแชมป์ราชดำเนินถึง 4 เส้น!

 

นี่คือเรื่องราวครบรสของนักมวยอัจฉริยะผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา…

 

 

เพราะความจนมันน่ากลัว

 

เด็กหนุ่มจากอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น คนนี้ ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่มีพร้อมอะไรนัก บ้านยากจนถึงขนาดต้องต่อไฟจากเพื่อนบ้านใช้ แต่สิ่งหนึ่งที่เขามีก็คือพ่อ ผู้เคยเป็นนักมวยเก่า ที่มี “มวย” เป็นทั้งวิชา และทางรอดเดียวของครอบครัว พ่อเริ่มฝึกลูกชายคนเดียวของเขาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ในขณะที่แม่คอยเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ เสมอ

 

“จุดเริ่มต้นของผมก็มาจากพ่อครับ พ่อผมไม่ได้เรียนสูง สิ่งเดียวที่เขาถนัดคือมวย แล้วบ้านเราก็ลำบากจริงๆ ถึงขั้นต้องใช้ไฟบ้านคนอื่น พ่อก็เลยใช้มวยนี่แหละ สอนผมตั้งแต่เด็ก มีแม่เป็นกำลังใจ”

 

ฝีมือที่ถูกขัดเกลาตั้งแต่เด็กเริ่มฉายแววชัด เด็กชายแสงมณีเริ่มเดินสายชกตามเวทีต่างๆ ในระดับภูธร และในเวลาไม่นาน เขาก็ถูกพูดถึงในวงกว้างในฐานะ "เด็กมหัศจรรย์แห่งวงการมวยไทย"

 

“พอผมอายุ 10 ขวบ ก็ได้ขึ้นเวทีที่ใหญ่ขึ้น มีคนรู้จัก เริ่มมีชื่อเสียง ได้ฉายา ‘ทารกเงินล้าน’ แล้วก็เริ่มมีเงินเข้ามา พอจะสร้างบ้านเล็กๆ ได้ มีเงินไปออกรถ”

 

แต่ชีวิตก็ใช่ว่าจะเดินตรงไปข้างหน้าเสมอ เหมือนโชคชะตาจะหยอกล้อ พ่อของเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และครอบครัวก็กลับมาติดลบอีกครั้ง

 

“หลังจากนั้น พอจบ ม.3 ผมก็ตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ เลย ใช้เวลาสั้นๆ ก็กวาดรางวัลยอดมวยจากทุกสถาบัน ชีวิตเปลี่ยนไปเลยครับ จากที่เคยได้เงินหลักหมื่น ก็เริ่มกลายเป็นหลักแสน”

 

 

โคตรมวยอัจฉริยะ

 

ชีวิตบทใหม่ของแสงมณีเริ่มต้นอีกครั้ง เมื่อเขาตัดสินใจย้ายเข้ามาชกในกรุงเทพฯ เมืองที่เต็มไปด้วยเวที ไฟสปอร์ตไลต์ และโอกาสที่พร้อมจะเปลี่ยนชีวิตใครสักคนให้กลายเป็นตำนาน


ข้อดีของการเข้ามาอยู่ในศูนย์กลางของวงการคือ เขาได้ชกบ่อยขึ้น ได้ฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในช่วงวัยที่ร่างกายแข็งแรงที่สุด ที่สำคัญเขา “เก่งเกินวัย” จนแฟนมวยพร้อมใจกันตั้งฉายาให้ว่า “ทารกเงินล้าน” ชกเดิมพันไฟต์นึงเป็นล้านๆ ในวัยเพียง 15 ปี และไม่ใช่แค่พรสวรรค์ที่พาเขามาไกล แต่อีกสิ่งสำคัญคือ "ครูดี" ที่เขาได้เรียนรู้ด้วยทุกวัน

 

“ตอนนั้นผมเข้ามาอยู่กับพ่อครับ อยู่ที่ค่าย 13 เหรียญพระราม 9 มีคนแนะนำให้มาอยู่กับเสี่ยสมชาย นิติวนะกุล แล้วก็ได้มาซ้อมกับพี่แสนชัย ซึ่งตอนนั้นผมมีพี่แสนชัยเป็นไอดอลอยู่แล้ว มันเลยทำให้ผมมีกำลังใจ มีความมุ่งมั่น อยากตั้งใจซ้อมให้เก่งให้ได้แบบพี่เขา”

 

จากเด็กบ้านนอกที่เคยต่อยมวยภูธร วันนี้เขาได้ซ้อมเคียงข้างยอดมวยที่คนทั้งประเทศยกย่อง นั่นทำให้แสงมณีได้เห็นอีกด้านของคำว่า "โคตรมวย"

 

“จากที่เราเป็นมวยบ้านนอก พอได้มาอยู่กับพี่แสนชัย มันทำให้ผมได้เรียนรู้สิ่งใหม่เยอะมากครับ ได้ซึมซับวิชาจากเขาเลย การได้เห็นเขาซ้อมจริงๆ ทำให้เข้าใจเลยว่า ‘โคตรมวย’ นี่มันของจริง”

 

“ความต่างระหว่างนักมวยธรรมดากับโคตรมวย มันเห็นได้ชัดเลยครับ ทั้งเทคนิค ความฉลาดในการออกอาวุธ การแก้เกมในแต่ละไฟต์ พี่แสนชัยคืออัจฉริยะของจริงสำหรับผม”

 

 

เด็กบ้านนอก ผู้ครองเวทีเมืองกรุง

 

ความฝันสูงสุดของนักมวยไทยแทบทุกคน คือการได้ขึ้นชกบนเวทีราชดำเนิน สังเวียนในตำนานที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ สนามแห่งนี้เปรียบเสมือน “เวทีศักดิ์สิทธิ์” ที่ใครได้สัมผัสจะไม่มีวันลืมกลิ่นอายของมัน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัยก็ตาม

 

“ตอนเด็ก ๆ ผมจะไปซื้อหนังสือพิมพ์ แล้วเปิดไปที่หน้ากลางก่อนเลยนะ เพราะตรงนั้นจะมีรูปนักมวยที่ได้แชมป์ราชดำเนิน พี่เชื่อมั้ย...ผมฉีกหน้านั้นออกมาแล้วเอาไปแปะไว้บนผนังห้อง นั่งมองมันทุกวัน แล้วก็บอกตัวเองว่า วันหนึ่ง...กูต้องเป็นแบบนี้ให้ได้”

 

และวันนั้นก็มาถึง...

 

ครั้งแรกที่ก้าวเข้าสู่เวทีราชดำเนิน แสงมณีจำความรู้สึกได้ชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เสียงกองเชียร์ที่ดังกระหึ่ม แสงไฟที่สาดส่องเวที และบรรยากาศที่แตกต่างจากเวทีบ้านนอกที่เขาเคยชกมาโดยสิ้นเชิง

 

“เขาเรียกเวทีนี้ว่าเวทีเมืองกรุง เสียงในสนามมันไม่เหมือนที่อื่นจริง ๆ ครับ มันก้องไปทั้งหัวใจเลย ยิ่งตอนที่ผมได้แชมป์เส้นแรก ดีใจสุด ๆ เลยครับ เหมือนเติมเต็มความฝันในวัยเด็กได้จริง ๆ”

 

และไม่ใช่แค่ฝันเดียวที่กลายเป็นจริง เพราะหลังจากนั้น แสงมณีคว้าแชมป์เพิ่มอีกสองเส้นในรุ่น 108 ปอนด์ และ 112 ปอนด์ ภายในเวลาเพียง 10 เดือนรวดเดียว 3 เส้น 3 รุ่น บนเวทีศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเคยแค่มองผ่านกระดาษหนังสือพิมพ์

 

 

คืนเวที...ด้วยไฟที่ไม่เคยมอด

 

จากนักมวยที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ยอมรับสูงสุดในวงการ เสียงปรบมือและคำชมไม่ได้อยู่กับเราเสมอไป ความพ่ายแพ้ หมดแพสชั่น หรือช่วงที่รู้สึกหลงทาง ล้วนเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกอาชีพ รวมถึง “แสงมณี” เช่นกัน เขาเคยเลือกวางนวม หยุดเส้นทางความฝันชั่วขณะ เพื่อออกเดินทางครั้งใหม่…ไปตามหาตัวตน

 

“ตอนนั้นผมหยุดชกไปเลยครับ ตัดสินใจไปสอนมวยที่สิงคโปร์อยู่ 13 เดือน ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่มีแรงจูงใจอะไรที่จะกลับมาชกมวยอีก จนอยู่มาคืนหนึ่ง ผมนั่งดูเพื่อนผมคือ ‘หนึ่งล้านเล็ก จิตรเมืองนนท์’ ชกไฟต์ชิงแชมป์ แล้วเขาดันชนะ กระโดดขึ้นเชือกดีใจ ผมนั่งดูแล้วแบบ…หมั่นไส้นิด ๆ (หัวเราะ) แต่ในใจผมก็คิดเลยว่า...เมื่อก่อนเขาก็เคยพ่ายแพ้นี่หว่า แล้ววันนี้เขากลับมาได้ แล้วทำไมเราจะกลับมาไม่ได้”

 

“ผมหันไปมองตัวเองในกระจก หุ่นที่เคยฟิต น้ำหนัก 65-66 ตอนนั้นขึ้นไป 80 โล อ้วนจนตัวเองยังรับไม่ได้ รู้เลยว่ามันถึงเวลาแล้ว ผมโทรหาพ่อกับแม่ ถามท่านตรง ๆ ว่าถ้าผมอยากกลับมาชกอีกครั้งจะโอเคมั้ย ทั้งคู่ไม่ห้าม บอกให้ผมตัดสินใจเอง แล้วผมก็ตัดสินใจกลับมาลุยในรายการ RWS - Rajadamnern World Series อีกครั้งครับ”

 

“แต่พอกลับมา ก็มีคนพูดกันนะว่าผมหมดไฟไปแล้ว เพราะเก่งตั้งแต่เด็ก ขอบอกตรงนี้เลยครับ — ไม่มีใครหมดไฟหรอก ถ้าผมหมดไฟจริง วันนี้ผมคงไม่ได้กลับมายืนตรงนี้”

 

ทุกก้าวของแสงมณี คือบทพิสูจน์ว่า “นักสู้ที่แท้จริง” ไม่ได้วัดกันที่ชัยชนะเพียงครั้งเดียว แต่วัดกันที่การลุกขึ้นใหม่ และนี่คือเรื่องราวของคนที่ลุกขึ้นอีกครั้ง...จนได้ครองแชมป์ราชดำเนิน 4 เส้น


stadium

author

อดิศักดิ์ คูวัฒนากุล

StadiumTH Content Creator

โฆษณา