26 กุมภาพันธ์ 2568
นางฟ้านักวิ่งซึ่งเรียกได้ว่าเป็นรุ่นแรกของวงการ ต้องนึกถึง “ข้าวโอ๊ต” นุชราวดี ไชยสิงห์ หนึ่งในสาวสวยซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็นนักวิ่งน่ารัก และพัฒนาตัวเองไปจนถึงการเป็นนักวิ่งมาราธอนนี่คือเรื่องราวของผู้หญิงสวยคนหนึ่ง ที่ต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าเธอก็เป็นนักวิ่งที่มีความสามารถเช่นกัน
นักวิ่งน่ารักยุคบุกเบิก
จุดเริ่มต้นในการวิ่งของข้าวโอ๊ตไม่ต่างจากนักวิ่งหลายคน เริ่มจากการวิ่งตามแฟนพร้อมกับเหตุผลที่ต้องการลดน้ำหนัก ผ่านช่วงเวลาที่รู้สึกเหนื่อยมากกับการวิ่ง จนปลดล็อคตัวเองได้
“คือหนูเริ่มวิ่งเมื่อปลายปี 2015 ค่ะเพราะว่ากินจนอ้วนมาก หนึ่งเดือนน้ำหนักขึ้นห้าถึงหกกิโล เอ็นจอยกับการกินค่ะ เพราะว่ามีแฟนแล้วเป็นคนน้ำหนักขึ้นไว คิดว่าก็คงเหมือนตอนเด็ก ที่จะลดได้ง่ายๆ แต่ปรากฏว่าไม่ลงเลยค่ะ โอ๊ตจำได้เลยว่างานแรกวิ่งห้ากิโล วิ่งๆ เดินๆ เป็นชั่วโมง รู้สึกว่าเหนื่อยมากค่ะ ตอนนั้นเห็นคนอื่นวิ่งก็รู้สึกว่าเค้าทำได้ยังไง แต่ของหนูอาจจะเป็นพลังความรัก (หัวเราะ) ก็เลยตั้งใจค่ะ แล้วก็มีงานต่อไปตามมา”
และจุดพลิกผันแรกในวงการวิ่งของข้าวโอ๊ต คือ ช่างภาพประจำงานถ่ายรูปเธอไป และ ถูกนำไปลงในเพจ Facebook ที่มีชื่อว่านักวิ่งน่ารัก จากนั้นได้ถูกแชร์ไป จนเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำให้ข้าวโอ๊ตรู้สึกสนุก และได้รู้จักเพื่อนใหม่เยอะมาก
“คือคนแชร์เยอะมากค่ะ เลยทำให้คนรู้จักเยอะมาก โอ๊ตก็เลยเริ่มรู้สึกสนุก แล้วได้ออกกำลังกาย ได้มีเพื่อนใหม่ จนได้มีทีมวิ่งค่ะ เพราะมีทีมก็ยิ่งสนุกมากขึ้นอีก จากที่หนูไม่เคยเล่นกีฬามาก่อน ไม่เคยออกกำลังกายอะไรเลย ก็สนุกกับการวิ่ง แถมน้ำหนักก็ลดลงจริงๆด้วยค่ะ”
ขยับระยะทางการวิ่ง
เพราะทีมวิ่ง แม้จะเป็นเพียงทีมวิ่งสมัครเล่นที่รวมตัวกันของกลุ่มนักวิ่งทั่วไป แต่แพสชั่นของแต่ละคน มักจะผลักดันให้คนอื่นในทีมฮึกเหิมในการพัฒนาตัวเอง ข้าวโอ๊ตเล่าว่านั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เธอเปลี่ยนจากการวิ่งแค่ 5 กิโลเมตร ถึง 10 กิโลเมตรมาเป็นระยะฮาล์ฟมาราธอน
“คือพอวิ่ง 10 กิโลได้ หนูเห็นคนอื่นวิ่ง 21 กิโล ก็เลยอยากลองค่ะ คิดว่าตัวเองก็ต้องทำได้เหมือนกัน สรุปว่าครั้งแรกวิ่งไป 3 ชั่วโมงกว่า ร้าวไปหลายวัน แต่ก็รู้สึกว่า เอ๊ะ เราก็ทำได้เหมือนกัน หลังจากนั้นมาผ่านไปสามถึงสี่ปีเลยค่ะ หนูก็ตัดสินใจไปมาราธอนแรก เพราะอยากชาเลนจ์ และอยากมีเป้าหมายใหม่ คืออยากรู้ว่าตัวเองจะทำได้ไหม”
ทุกสนามมาราธอนคือความท้าทาย และ มาราธอนแรกคือความทรงจำที่ดีที่สุด ข้าวโอ๊ตให้เหตุผลกับตัวเองในการเลือกสนามมาราธอนแรก ที่อากาศไม่ร้อน และเส้นทางไม่ยาก จึงตัดสินใจไปมาราธอนในต่างประเทศ นั่นคือ โอซาก้า 2018
“คือหนูแค่รู้สึกว่า ถ้าเสียเงินแล้วมันจะทำให้หนูทำให้เต็มที่ เพื่อให้คุ้มกับเงิน ให้คุ้มกับสิ่งที่จ่ายไป มาราธอนแรกจะได้สร้างความประทับใจให้ตัวเอง แต่สุดท้ายก็วิ่งไม่จบนะคะ ตะคริว โดนคัดออกกิโลที่ 39 ตอนนั้นหนูเสียใจมาก ร้องไห้ไปหนึ่งอาทิตย์ คิดว่าเดินทางไปตั้งไกล แต่ต้องมาโดนเก็บขึ้นรถแบบนี้ แล้วหนูไม่ได้เผื่อใจไว้เลย ว่าจะวิ่งไม่จบ ตอนนั้นเลยคิดว่าจะไม่เอาแล้ว ก็กลับมารักษาใจอยู่พักนึง ก่อนจะตัดสินใจไปแก้มือที่สนามเดิม”
สุดท้ายแล้วโอซาก้ามาราธอนในปี 2019 ก่อนที่โควิดจะระบาด ข้าวโอ๊ตผลักดันตัวเองจบสามารถวิ่งจบได้ ที่เวลา 5.20 ชั่วโมง เธอเล่าว่าเมื่อเข้าถึงเส้นชัย ก็ร้องไห้ออกมา และคิดทบทวนว่า ผ่านอะไรมาบ้าง ทั้งความกดดันและความผิดหวังจากครั้งก่อน
สนามมาราธอนเมเจอร์
มาราธอน คือ การพิสูจน์จิตใจ วันแข่งไม่เหนื่อยเท่าวันซ้อม คือบทเรียนของคนที่เคยผ่านประสบการณ์มาราธอนทุกคนเข้าใจตรงกัน แต่เมื่อสามารถวิ่งจนจบได้ ไฟในการซ้อมก็กลับมาอีกครั้ง ทำให้ข้าวโอ๊ตอยากพัฒนาสถิติตัวเองให้ดีขึ้น ในโตเกียว 2024 โดยการซื้อสิทธิ์ แบบแชริตี้ กลายเป็นงานมาราธอนเมเจอร์สนามแรกในชีวิต
“คือหนูคิดอยากจะไปเวิลด์เมเจอร์อยู่แล้ว ค่ะแต่ก็เริ่มใกล้ๆ ก่อนก็คือโตเกียว หนูอยากไปสัมผัสกับบรรยากาศ เพราะปีนั้นเป็นปีที่ คิปโชเก้ (เอเลียต คิปโชเก้ นักวิ่งมาราธอนโอลิมปิก) ไปแข่ง ครั้งนี้หนูเตรียมตัวดีมาก ทุกอย่างเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง มีโค้ชแบบจริงจัง และความตั้งใจที่อยากให้เวลาดีกว่าเดิม เตรียมตัวสามถึงสี่เดือนเลยค่ะ พอไปถึงก็คิดว่าเราฟิตมาก แต่กลับเจออากาศที่หนาวมาก ลมและฝนตก จนป่วยและเจ็บคอก่อนแข่งสองวัน ต้องแบกอาการไข้ไปแข่งขัน”
ข้าวโอ๊ตเล่าว่าการเตรียมตัวที่ผ่านมา ทำให้เธอเลือกที่จะไปแข่งทั้งที่ไม่พร้อม โดยตั้งเป้าหมายว่า แค่แข่งจบก็เพียงพอแล้ว แม้จะเวลาไม่ดี แต่ก็อยากเห็นเส้นชัย เพราะคิดว่าอาจไม่มีโอกาสได้กลับมาอีก ซึ่งสุดท้ายก็ทำได้จริง แต่ยังมีความรู้สึกติดค้างในใจว่าดูแลตัวเองไม่ดีพอ จนต้องพลาดในสนามมาราธอนอีกครั้ง
เพราะโชคชะตาคงกำหนดไว้ให้มีมาราธอนต่อมา เพราะข้าวโอ๊ตได้สิทธิ์ล็อตโต้ ไปร่วมแข่งเบอร์ลินมาราธอน ที่แข่งในปีเดียวกัน ทำให้ 2024 มีสนามมาราธอนของข้าวโอ๊ตถึงสองสนาม “หนูเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ได้ไป ตอนแรกก็ลังเล แต่ทุกคนบอกว่าควรจะไป แล้วหนูอยากไปแก้มือเหมือนกัน พอรู้ว่าสนามง่ายกว่าที่ญี่ปุ่น ไม่ชื้นไม่หนาว”
สู้เพื่อสถิติที่ดีขึ้น
สนามนี้ ข้าวโอ๊ตจึงเตรียมตัวมาดีมากกว่าเดิม ทั้งการซ้อม การรับประทานอาหาร การนอนหลับพักผ่อน เพื่อไม่ให้ผิดพลาดเหมือนสนามก่อน แต่การเก็บระยะที่มากทำให้เธอมีอาการตะคริวขึ้นทุกคืน จนถึงวันแข่งขันก็ต้องแบกอาการตะคริวลงสนามไปด้วย
“ไม่เป็นตะคริวเลยค่ะ จนกิโล 35 ซึ่งเป็นระยะปราบเซียนอยู่แล้ว รู้สึกว่าล้าค่ะ แต่ก็พอไปได้ จนโล 36 ตะคริวเหมือนจะมา รู้ตัวเลยค่ะ ในหัวก็คิดว่าจะเอายังไงดี ก็เลยลดความเร็วลง และประคองจนจบค่ะ จากที่ตั้งเป้าไว้ว่า 4 ชั่วโมง 15 นาที กลายเป็น 4 ชั่วโมง 25 นาที ก็เป็นสถิติที่ดีกว่าเดิม และอยู่ในเป้าที่ไม่อยากให้เกิน 4 ชั่วโมงครึ่งค่ะ“
ความกดดันทั้งหมดที่เคยมีก่อนหน้านี้ และการแบกความหวังของตัวเอง ด้วยการทุ่มเทฝึกซ้อม บวกกับกำลังใจจากคนรอบตัว ทำให้ข้าวโอ๊ตผ่านช่วงเวลายากลำบากของมาราธอนไปได้
”ร้องไห้หนักมากนะคะ หนูคิดว่าเราไม่เก่งเหมือนคนอื่น แต่เราพยายาม เราต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นแหละ ผลที่ออกมาก็เลยประทับใจ เป็นมาราธอนที่ประทับใจที่สุดของหนู สิ่งที่ได้กลับมา คือ หนูมีวินัยมากขึ้น หนูเคยคิดเลยว่าตัวเองไม่มีวินัยอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง หรือการออกกำลังกาย พอมองย้อนกลับไป ก็รู้สึกว่าเราเปลี่ยนไปหลายอย่าง ทั้งความคิด สร้างความอดทน จากคนที่ถอดใจง่าย งอแง ไม่เคยชอบ ไม่เคยตั้งใจอะไร แต่ก็ยอมวิ่งตากแดด กลายเป็นคนที่มีเป้าหมายในการเป็นนักวิ่งมาราธอนที่ดี หนูอยากคุยกับคนอื่นรู้เรื่องว่ามาราธอนเป็นยังไง“
ถ้าย้อนกลับไปบอกตัวเองได้ข้าวโอ๊ตอยากบอกกับตัวเองในอดีตว่า ไม่ว่ายังไง ก็ให้มุ่งมั่นทำทุกอย่างเหมือนเดิม เพราะทุกสิ่งที่ทำ ผ่านกระบวนการคิดมาอย่างดีแล้ว และได้สร้างความทรงจำที่ล้ำค่ามาก จนคิดว่าสามารถเก็บไปบอกเล่ากับลูกหลานได้ในอนาคต ว่าเป็นความภูมิใจของตัวเอง
สิ่งที่ได้รับจากมาราธอน
”เกินฝันนะคะ หนูเซอร์ไพรส์มากนะ ว่าหนูทำได้จริงๆ หรอ เพราะตอนซ้อมหนูไม่เคยมีความมั่นใจเลย แต่พอถึงสนามจริงมันต่างจากตอนซ้อมมาก หนูทำได้จริงๆ แบบไม่น่าเชื่อเลยว่าจะทำได้เป็นประสบการณ์ชีวิต ที่คิดว่าคงเสียดาย ถ้าไม่ลงมือทำในตอนที่ที่ยังมีแรง หนูเป็นคนเอนเนอจี้ Passion เยอะ ก็เลยลงมือทำอะไรแบบไม่ลังเล ถ้าคิดว่าไปได้ทำได้ ก็พร้อมทำทันที ซึ่งมาราธอนก็ให้วินัยเรื่องการเก็บเงินกับหนูด้วยนะ เพราะจะไปต่างประเทศแต่ละครั้ง ก็ต้องเก็บเงินให้ได้ จากปกติใช้เงินเก่งมาก ก็เปลี่ยนเป็นตัวเองตรงนี้ด้วยค่ะ“
หลังจากนี้ข้าวโอ๊ตยังมีเป้าสนามต่อไปที่ลอนดอน พร้อมกับทำสถิติให้ดีกว่าเดิม แต่ช่วงเวลานี้ ปี 2025 ยังไม่มีสนามไหนที่เปิดแข่ง ดังนั้น ข้าวโอ๊ตจะใช้เวลาช่วงนี้ในการทำสถิติ 10 กิโลเมตรให้ดีขึ้น พร้อมกับเก็บเงินไปด้วย และเตรียมไปลอนดอนในปี 2026
”ทุ่มเทเวลาทั้งกายและใจนะคะ หนูเชื่อว่าทุกคนก็ต้องมีแพสชั่น อยากชาเลนจ์กับมาราธอน แล้วมาราธอนนี่แหละค่ะ เปลี่ยนชีวิตมากกว่าทุกระยะ เราได้เป็นคนใหม่ เพราะมันแทบจะเกินขีดจำกัดของคนไปแล้ว ต้องลองเองค่ะ เชื่อว่าสุดท้ายทุกคนถ้าผ่านไปได้ก็จะทึ่งในตัวเอง ว่าเราจบมาได้ยังไงนะ มันเป็นความรู้สึกที่เกิดได้แค่กับการวิ่งมาราธอนเท่านั้น“
เพราะที่ผ่านมาการถูกชมว่าเป็นคนสวยน่ารัก เคยทำให้ข้าวโอ๊ตมีความสุข และผลักดันตัวเองบนเส้นทางการวิ่งมาได้จนถึงจุดนี้ ซึ่งสำหรับเธอแล้ว คำชมว่าเป็นนักวิ่งที่เก่งทำให้เธอมีความสุขมากกว่า
”คือคนชมว่าหนูสวยหนูชินแล้ว (หัวเราะ) แล้วตอนนี้วงการวิ่งก็มีคนสวยเยอะมากแล้ว หนูก็มีเป้าหมายอื่น เพราะอยู่ในวงการนี้มานาน หนูอยากเป็นคนสวยที่วิ่งมาราธอนได้ หนูอยากมีความสุขกับทุกสนาม เอาความตั้งใจไปสู้แทน และมีความสุขทุกครั้งที่ได้พัฒนาตัวเอง เพราะตอนนี้แค่สวยมันไม่พอ ต้องหลากหลาย ทำได้หลายอย่าง ดีในแบบของตัวเอง และมีความสุขที่สุด โอ๊ตรู้สึกชมตัวเองนะคะว่าเราโคตรเก่งเลย และหนูไม่เคยเปรียบเทียบกับใคร อยู่ในโลกของตัวเอง และเต็มที่กับบทบาทในการเป็นนักวิ่งค่ะ“
TAG ที่เกี่ยวข้อง