stadium

แพสชั่นของ อู๋ อภินันท์ จากโอลิมปิก สู่แชมป์กรีฑาอาวุโส

10 กุมภาพันธ์ 2568

สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยอีกครั้ง ในการแข่งขันกรีฑาอาวุโสชิงแชมป์เอเชีย ที่ฟิลิปปินส์ และ การแข่งขันรายการ Hong Kong Masters Athletics Championships 2024 ที่ประเทศฮ่องกง 

“อู๋” พ.ต.ต.อภินันท์ สุขอภัย จากอดีตทีมผลัด 4×100 เมตรชาย ชุดสร้างประวัติศาสตร์ เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศจีน ก่อนจะวางมือ และหวนกลับมาสู่วงการวิ่งอีกครั้งในกีฬาอาวุโส นี่คือเรื่องราวของหนึ่งในนักวิ่งที่ยังไม่หมดไฟ จากก้าวแรกสู่ก้าวต่อไป

 

 

เริ่มวิ่งตอนชั้นมัธยมปีที่ห้า

 

เต็มไปด้วยแพสชั่นด้านกีฬาตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียน ระดับชั้นมัธยม ที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา อู๋ อภินันท์ เคยเป็นนักฟุตบอลของโรงเรียนมาก่อน แต่เมื่อเล่นไปซักระยะ โรงเรียนได้ดึงเด็กช้างเผือกจากโรงเรียนอื่นเข้ามาร่วม ทำให้อู๋ค้นพบว่าเขาอาจจะไม่ได้เหมาะกับกีฬาชนิดนี้ 

 

“ตอนแรกเล่นฟุตบอลครับ อัสสัมชัญ ศรีราชา โรงเรียนเก่งด้านฟุตบอล แต่พอถึงรุ่น 14 ปี เค้าดึงช้างเผือกจากที่อื่นมา เราก็สู้เขาไม่ได้ เลยลองเปลี่ยนกีฬาเป็นวิ่ง ได้แข่งกรีฑาภายในโรงเรียน ฝึกซ้อมเอง ก็วิ่งได้ดีขึ้น จนไปขอซ้อมกับทีมโรงเรียน และได้เป็นตัวแทนโรงเรียนในที่สุด พัฒนาไปเรื่อยๆ ผมเริ่มตอน ม. 5 ถือว่าช้า แต่ก็ได้เป็นแชมป์ของโรงเรียน จนได้เป็นตัวแทนเขตการศึกษา ตัวแทนจังหวัดชลบุรี ในกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ก่อนจะไปสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยด้วยโควตานักกีฬากรีฑา”

 

เมื่อเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพกลายเป็นก้าวแรกสู่การติดทีมชาติของอู๋เนื่องจากในตอนนันอาจารย์เอกวิทย์ แสวงผล (โค้ชสมาคมกรีฑาแห่งประเทศไทย ในปัจจุบัน) ทำหน้าที่โค้ชของมหาวิทยาลัยกรุงเทพและแนะนำให้อู๋มาร่วมฝึกซ้อมกับสมาคมเพราะเห็นแวว จากการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยที่จังหวัดเชียงใหม่ สถิติ 10.80 ซึ่งมีโอกาสที่จะพัฒนาได้

 

“ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักมากครับ พออาจารย์ชวน ผมก็คิดว่าอยากไปลองดู ก็ไปลองเข้าไปซ้อม เช้าก็หิ้วรองเท้าไป เย็นก็กลับไปใหม่ คิดว่าถ้าซ้อมแบบเค้า ก็น่าจะมีโอกาส เพราะตอนนั้นผมอยากติดทีมชาติแล้ว คือรู้ตัวว่าเริ่มช้า แต่ก็ยังอยากติดทีมชาติ จากที่เคยอยากเป็นเลิศทางฟุตบอล ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นทางวิ่ง”

 

 

เข้าสู่สมาคมกีฬากรีฑา 

จากคำชักชวนของอาจารย์เอกวิทย์ในตอนนั้นทำให้อู๋ได้เข้าร่วมซ้อมกับสมาคมแบบไม่เต็มตัว ก่อนที่จะได้คัดตัวเพื่อแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยอาเซียน ที่ประเทศอินโดนีเซีย และคัดติดตั้งแต่ครั้งแรก ในฐานะทีม 4×100 เมตร และ 100 เมตรเดี่ยว 

 

“ผมได้วิ่งไม้สองครับ ไม้หนึ่งคือเสกสรรค์ วงศ์สละ ไม้สาม สมโภชน์ สุวรรณรังษี และไม้สี่ เอก วัชระ สอนดี จากนั้นผมก็ได้อยู่กับสมาคมต่อ และ ซ้อมไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าเริ่มตันไปต่อไม่ได้ เหมือนไม่ค่อยพัฒนาขึ้น อาจจะเป็นเพราะพื้นฐานการฝึกซ้อมที่ยังไม่ค่อยดี”

 

แม้จะเป็นช่วงที่รู้สึกท้อ แต่อู๋เล่าว่า เขามีความคิดแว่บหนึ่งเกิดขึ้น ว่าควรจะสู้ต่อไป จึงทำให้กลับมาลองตั้งใจ และ ขยันซ้อมมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเคยโดนรุ่นพี่ตำหนิเรื่องความขี้เกียจ จึงเริ่มตั้งใจฝึกซ้อม ถือคติที่ว่าให้มาสนามเป็นคนแรกๆ และ ออกจากสนามเป็นคนท้ายๆ จนกระทั่งกีฬามหาวิทยาลัยโลกที่ไทยได้เป็นเจ้าภาพในปี 2007 อู๋ ก็กลับมาติดทีมชาติอีกครั้งเป็นหนึ่งในหก ของทีมผลัด 4 × 100 เมตร แม้จะไม่ได้ลงตัวจริง แต่ก็เป็นชุดที่คว้าเหรียญทองได้สำเร็จ

 

“จากนั้นมาก็เป็นซีเกมส์ที่โคราช 2007 ผมก็คัดติด 1 ใน 6 ของทีมผลัด 4×100 ม. ชุดเหรียญทองซีเกมส์ที่ โคราชอีก เป็นปีที่ผมเห็นว่าตัวเองพัฒนาขึ้น แล้วปีต่อมาก็ตามมาด้วยการควอลิฟายโอลิมปิกปักกิ่ง 2008“

 

 

ประวัติศาสตร์เข้าร่วมโอลิมปิก

 

ปี 2008 ได้กลายเป็นปีแห่งความทุ่มเทเพื่อสร้างสถิติควอลิฟาย สำหรับโอลิมปิกที่ปักกิ่ง ตอนนั้นโอลิมปิกเกมส์จะคัดทีม 4 × 100 เมตร ทั้งหมด 16 ทีม เพื่อเข้าสู่การแข่งขันในรอบสุดท้ายที่สนามรังนกกรุงปักกิ่งประเทศจีน และจากผลงานของทีมชาติไทยในซีเกมส์โคราชในปีนั้น ทำให้ประเทศไทยตั้งความหวัง เพื่อส่งทีมผลัดทีมนี้เข้าร่วมการแข่งขันให้ได้ 

 

“เราอยู่ประมาณอันดับ 16 ถึง 17 ซึ่งซีเกมส์ที่โคราชทำเวลาไว้ 38.95 ต้องเอาเวลาสองครั้งมาเฉลี่ยเวลาที่ดีที่สุด ทำให้ตลอดทั้งปี 2008 เป็นปีแห่งการควอลิฟายโอลิมปิกตลอดทั้งปี โดยชุดนี้มีผมตัวจริง ไม้หนึ่ง ศิริโรจน์ ดาราสุริยงค์ ไม้สอง สมโภชน์ สุวรรณรังษี ไม้สาม สิทธิชัย สุวรประทีป ไม้สี่”

 

เส้นทางการสร้างตำนานไม่เคยง่ายเพราะการคัดเลือกสนามแรกที่ประเทศไทยเกิดการผิดพลาดทำไม้ผลัดหล่น และครั้งที่สองที่นครราชสีมาแพ้ให้กับจีน ทำสถิติได้ 38.94

 

“ตอนนั้นจีนเค้าก็มั่นใจเลยนะว่าเค้าเข้าได้ไปแน่ๆ แล้ว แต่ผมก็มั่นใจเหมือนกันว่าผมจะผ่านเพราะตอนนั้นเวลาอยู่ที่ 16 แต่ต้องไปลุ้นถึงแมตซ์สุดท้ายที่ทีมจากยุโรปแข่งกัน ลุ้นจนนาทีสุดท้าย เราก็ได้ไปปักกิ่งจริงๆ”

 

การเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกที่ปักกิ่งครั้งนั้นกลายเป็นความภูมิใจและประทับใจถือเป็นจุดสูงสุดในฐานะนักวิ่งของอู๋ “วันที่ลงสนามผมอยากวิ่งมาก ไม่รู้สึกกลัวเลย อยากสู้ แล้วผมคิดว่าผมทำได้ดีพอสมควร แต่หลายหลายอย่างเราสู้เขาไม่ได้ แต่ก็ทำเต็มที่จริงๆในสนามวันนั้นมีคนเฉียด 100,000 คน”

 

 

สู่การเป็นข้าราชการตำรวจ

 

อีกหนึ่งก้าวสำคัญในชีวิตที่ได้พิสูจน์ตัวเองครั้งใหญ่ของ อู๋ อภินันท์ คือการสอบบรรจุเพื่อเป็นข้าราชการตำรวจ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ตัวเองเคยวางเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม ในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย 

 

“ผมอยากไปเป็นตำรวจตั้งแต่ตอนเรียนจบ แต่ตอนติดทีมชาตินั้นเป็นทหารเรืออยู่ซึ่งตอนนั้นตำรวจยังไม่รับคน บวกกับเรียนนิติศาสตร์มา พอออกจากทีมชาติแล้วก็เลยตั้งใจอ่านหนังสือสอบ เพราะเริ่มมีเวลา ตั้งใจจะเป็นตำรวจให้ได้ จนมีการเปิดสอบนักเรียนนายสิบ รุ่นป.ตรี ผมก็สอบติดตั้งแต่ครั้งแรก”

 

และเป็นการลบคำสบประมาทที่ว่านักกีฬาต้องใช้โควตาเท่านั้นเพื่อจะเป็นข้าราชการตำรวจจากตอนนั้นก็ตั้งเป้าต่อไปว่าอยากสอบนายร้อยวางแผนไว้ในอีกสองปีจะต้องสอบติดนายร้อยให้ได้ จึงได้เตรียมตัวอ่านหนังสือสอบจนสอบติดจนได้ ปัจจุบัน จึงได้ติดยศเป็น พ.ต.ต.อภินันท์ สุขอภัย สารวัตรกองกำกับการ1 กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด1 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด

 

“มันเป็นวินัยตั้งแต่ซ้อมกีฬาผมก็เอามาใช้กับการเรียนด้วย ผมคิดว่านักกีฬาถือว่ามีทักษะพิเศษ ที่สามารถเล่นกีฬาไปด้วยเรียนไปด้วยและต้องทำให้ดีทั้งสองอย่าง และบางคนก็อาจจะมองว่าเป็นนักกีฬาการเรียนก็จะไม่ดี และผมก็พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้วว่าผมทำได้ และสอบติดมาจนได้”

 

 

เป้าหมายในการวิ่ง

 

แม้เหตุการณ์คัดเอเชียนเกมส์ไม่ติด จะทำให้อู๋เคยท้อ ถึงขั้นไม่อยากกลับสนามกรีฑาอีกแล้ว แต่จุดพลิกผันมาจากแพสชั่นที่เต็มเปี่ยมอยู่เสมอ และเป้าหมายที่วางไว้ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งนอกจากโอลิมปิกแล้วอู๋และเพื่อนร่วมทีมยังเคยได้ร่วมการแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โลกที่เบอร์ลินมาแล้วด้วย

 

“ผมก็คิดว่ายังไปไม่สุดเสียเวลาไปเยอะผมเริ่มช้าแต่อยากได้แมตช์หลักๆให้มากที่สุดทั้งซีเกมส์ เอเชียนเกมส์ โอลิมปิก ชิงแชมป์โลก ซึ่งผมไปได้หมดแล้วขาดแค่เอเชียนเกมส์ แต่ก็มาเป็นปีที่ผมเลิกพอดี”

 

การกลับมาแข่งขันกีฬาอาวุโสเอเชีย ที่ฟิลิปปินส์ และ รายการ Hong Kong Masters Athletics Championships 2024 ที่ประเทศฮ่องกง ก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่ผลักดันให้อู๋กลับมาลงสนามอีกครั้งส่วนหนึ่งเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ในฐานะนักกีฬาอาชีพ

 

“ผมเป็นคนอยากหาแรงจูงใจในชีวิต ชอบการแข่งขัน ชอบความตื่นเต้น ชอบวางเป้าหมายแล้วทำให้ได้ ไม่ให้ชีวิตน่าเบื่อ ที่มาแข่งอาวุโสที่ฮ่องกง ก็อยากพิสูจน์ตัวเอง เมื่อก่อนผมถูกมองว่าเป็นเด็กเส้นมาก่อน เพราะไม่ได้ผ่านเยาวชนทีมชาติมา ก็ต้องแสดงให้เห็นว่าเราเหมาะสม และเป็นของจริง”

 

 

การแข่งขันกีฬาอาวุโส

 

ชัยชนะเติมเต็มชีวิต และความฝัน กีฬาอาวุโสระดับนานาชาติ จึงเป็นเป้าหมายของอู๋ เพื่อปลดล็อคชีวิตที่ขาดหายไป เริ่มต้นจากการแข่งกีฬาอาวุโสในประเทศไปถึงระดับ อาเซียนและเอเชีย

 

“ผมยังไม่อยากเลิก ผมยังอยากเติมเต็มชีวิตด้วยการวิ่ง ผมยังฝันถึงการวิ่ง และการแข่งขัน รู้สึกยังไม่อยากเลิก และดูแลตัวเองมาตลอด เพื่อรักษาสภาพกล้ามเนื้อ เพราะรู้ว่าวันนึงจะกลับมาวิ่งได้ และยังได้รวมทีมกันกับทีมแชมป์เอเชียที่เคยลงแข่งด้วยกันที่ฟิลิปปินส์ จนได้ไปฮ่องกง และทำลายสถิติการแข่งขัน พร้อมกับคว้าเหรียญทอง”

 

เป้าหมายต่อไปอู๋บอกว่าทีมผลัด 4×100 เมตรชุดอาวุโสที่ฮ่องกง จะเดินทางต่อไปสู่การแข่งขัน World Masters Games ที่ไต้หวัน ในเดือนพฤษภาคมนี้

 

”ฝากถึงนักวิ่งรุ่นใหม่ที่อาจจะคิดว่าตัวเองเริ่มช้า ผมอยากให้ทำให้สุด ทำทันทีให้เต็มที่ อายุเรามันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่าย้อนมาคิดได้ในตอนที่สายไปแล้ว อย่าให้ติดค้างในใจ แล้วมาเสียดายทีหลัง ถ้าตั้งใจแล้ว ให้ทำให้เต็มที่ แล้วผลลัพธ์ก็จะไม่ผิดหวัง“

 

”ส่วนตัวผมก็อยากวิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่ไหว เพราะการวิ่งเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต มันคือความรัก และเป็นสิ่งที่ต้องทำแบบขาดไม่ได้“


stadium

author

ทีมงานเพจนักวิ่งมีหนวด

เพจเรื่องวิ่งที่แอดมินมีหนวด ทำข่าววิ่ง ชอบป้ายยา ขิงรองเท้าเสื้อผ้าวิ่ง

โฆษณา