7 กุมภาพันธ์ 2568
นาทีนี้ไม่มีคู่นักแบดมินตันไทยคนใดร้อนแรงและถูกพูดถึงมากไปกว่า "บาส" เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ "เฟม" ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่ผสมที่เพิ่งกวาดแชมป์เวิลด์ ทัวร์ ระดับ 300 รายการ ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025 มาได้เมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นแชมป์รายการที่ 2 ในปีนี้และรายการที่ 4 ของทั้งคู่นับตั้งแต่จับคู่กันครั้งแรกเมื่อ 6 เดือนก่อน
วันนี้ STADIUMTH มาชวนแฟน ๆ ลูกขนไก่ไทย มาร่วมกันวิเคราะห์ถึงเบื้องหลังความสำเร็จของทั้งสองคนกันว่ามาจากปัจจัยใดบ้าง
รู้ไส้รู้พุง
ทั้งบาส และ เฟมต่างก็อยู่ภายใต้สังกัดเอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่ ด้วยกันมานาน โดยบาสเข้ามาอยู่กับทีมตั้งแต่ปี 2010 ก่อนที่เฟมจะตามเข้ามาในปี 2016 เท่ากับว่าทั้งคู่ได้ซ้อมด้วยกันเป็นประจำทุกวันมานาน 8 ปีเศษ
โดยเฉพาะนับตั้งแต่ปี 2018 บาสที่จับคู่กับปอป้อ (ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย) กำลังแจ้งเกิดคว้าแชมป์ได้หลายรายการในประเภทคู่ผสม ส่วนเฟมก็ก้าวขึ้นมาเทิร์นโปรเป็นปีแรกทั้งประเภทหญิงคู่และคู่ผสม แต่ดูเหมือนจะไปได้ดีกับประเภทคู่ผสมที่จับคู่กับเอ็ม (สุภัค จอมเกาะ) ประสบความสำเร็จในระดับอินเตอร์เนชั่นแนล ชาลเลนจ์
คู่ผสมทั้งสองคู่ของเอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่ ต่างก็ทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในระดับสูง บาส-ป้อ ก้าวขึ้นไปเป็นมือ 1 ของโลกและแชมป์โลกในปี 2021 ส่วนเอ็ม-เฟม ยกระดับผลงานขึ้นมาจนเป็นคู่ผสมมือ 2 ของไทย และก้าวมาติดท็อป 10 ของโลกในปีต่อมา ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งบาส และ เฟมได้มีโอกาสฝึกซ้อมในสนามร่วมกันอย่างเข้มข้นเป็นประจำทุกวัน
ถึงแม้ว่าในสนามซ้อมจะอยู่คนละข้าง แต่ทั้งคู่ต่างก็ทราบถึงจุดเด่น และ สไตล์การเล่นของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี จึงอาจกลายมาเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้พวกเขาปรับตัวเข้าหากันได้อย่างรวดเร็ว
เริ่มจับคู่ลงแข่งขันรายการแรกในเดือนตุลาคม 2024 ด้วยอันดับ 307 ของโลก ผ่านมาถึงวันนี้ใช้เวลาเพียง 3 เดือนกว่า ๆ คว้าแชมป์มาครองร่วมกันได้ 4 รายการ เจแปน มาสเตอร์ส 2024 ระดับเวิลด์ ทัวร์ 500 ต่อด้วย ไซเอ็ด โมดี้ อินเดีย อินเตอร์เนชั่นแนล 2024 เวิลด์ ทัวร์ ระดับ 300 เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2024 ก่อนจะประเดิมศักราชใหม่ในปี 2025 ด้วยแชมป์รายการใหญ่สุดอย่าง มาเลเซีย โอเพ่น 2025 เวิลด์ ทัวร์ ระดับ 1000 และล่าสุดแชมป์ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025 เวิลด์ ทัวร์ 300 เมื่อสัปดาห์ก่อน
ความกระหายชัยชนะของ “บาส” เดชาพล
เหรียญโอลิมปิกเกมส์เป็นเพียงความสำเร็จเดียวที่นักตบลูกขนไก่หนุ่มจากชลบุรีรายนี้ยังเติมไม่เต็ม และบนวัย 27 ปีเขารู้ตัวดีว่าโอลิมปิก 2028 ที่สหรัฐฯ อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของเขาแล้ว ดังนั้นการเปลี่ยนคู่หูในสนามจึงมีส่วนช่วยเติมความท้าทายใหม่ ๆ ที่ทำให้บาส มีความกระหายชัยชนะมากขึ้นอีกครั้ง
หลังจบโอลิมปิก 2024 บนเส้นทางที่ต้องพิสูจน์ตัวเองใหม่อีกครั้ง การได้ลงเล่นในรูปแบบเกมที่ถนัดของตัวเองพร้อมด้วยร่างกายที่ฟิตสมบูรณ์ ทำให้เขาดึงศักยภาพของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ทั้งความเร็ว ความแข็งแรง การวางลูกอยู่ในระดับสูงสุดแบบเดียวกับบาสในเวอร์ชั่นเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในอาชีพ
บาสอาจไม่ต้องปรับอะไรมากเมื่อเทียบกับเฟม เขายังคงเป็นคีย์สำคัญของแผนการเล่น โดยเฉพาะความหนักในการตบวางลูกไปยังจุดที่กดดันคู่แข่งจนเป็นฝ่ายต้องขึ้นลูกมาให้ตบทำคะแนน รวมถึงเกมรับที่เราได้เห็นทั้งความเร็วและความเหนียวแน่น ที่กัดไม่ปล่อยในทุกจังหวะ
บทพิสูจน์ของ “เฟม” ศุภิสรา
ถึงแม้ว่าการจับคู่กับสุภัค จอมเกาะ ดูจะไปได้ดี แต่ในช่วงขวบปีที่ผ่านมาดูเหมือนฟอร์มของทั้งคู่จะชนกำแพงอันสูงชัน การจะรักษาระดับการเล่นให้อยู่ในระดับสูงหรือก้าวข้ามเพื่อไปให้ถึงความสำเร็จดูจะเป็นโจทย์ที่ยากเกินไป และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง การได้จับคู่กับเดชาพลก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจมากนัก เพราะเธอก็เป็นนักแบดหญิงมือหน้าระดับต้น ๆ ของประเทศเช่นกัน
การจับคู่กับเดชาพลในช่วงแรก เฟมอาจดูจะมีข้อผิดพลาดให้เราเห็นแบบเข้าตามากกว่า ทั้งในจังหวะการเข้าประกบหน้าตาข่าย การรับตบ สปีดของเกม ซึ่งเธอต้องปรับให้เข้ากับรูปแบบของบาสอยู่พอสมควร
แต่ด้วยสไตล์การเล่นที่ใกล้เคียงกันมีความเป็นนักแบดเกมรุกอยู่เป็นธรรมชาติ เมื่อปรับจังหวะให้เข้ากับเกมได้แล้ว สามารถเข้าประกบหน้าเน็ตได้ไว ปิดแต้มที่หน้าตาข่ายได้ เพิ่มความเหนียวแน่นในเกมรับ ลดการตีเสียภายในเกมได้ ทำให้เกมของเฟมกับบาสมีความต่อเนื่องและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ
ช่วงผลัดใบคู่ผสม
เป็นอีกครั้งที่หลังจบโอลิมปิกเกมส์แล้วเราได้เห็นบรรดานักแบดมือดีประกาศแขวนแร็กเก็ตกันหลายราย ซึ่งในครั้งนี้โดยเฉพาะในประเภทคู่ผสมราวกับอยู่ในช่วงผลัดใบมีหลายคู่ในระดับท็อป 6 ของโลกได้แยกทางกันไป อาทิ เจิ้ง ซือ เว่ย กับ หวง หย่าฉง คู่ไร้เทียมทาน แชมป์โลก 3 สมัยและแชมป์โอลิมปิกจากจีน, ยูตะ วาตานาเบะ กับ อาริสะ ฮิกาชิโนะ อดีตคู่มือ 1 ของโลกจากญี่ปุ่น รวมไปถึง ซอ ซึง แจ กับ แช ยูจุง อดีตคู่แชมป์โลกจากเกาหลีใต้
การขาดหายของ 3 คู่ข้างต้นนับเป็นผลดีสำหรับการไล่ล่าความสำเร็จของเหล่านักแบดคนอื่น ๆ เพราะทั้งหมดที่กล่าวมานั้นถือเป็นมือระดับพระกาฬของคู่ผสมที่ผูกขาดความสำเร็จมาตลอดโดยเฉพาะรายการใหญ่ ๆ ที่เราจะได้เห็นแต่หน้าเดิม ๆ วนเวียนกันขึ้นไปถ่ายรูปบนโพเดี้ยม
ขณะเดียวกันยังถือเป็นเรื่องดีที่ทำให้การไต่อันดับใหม่ของคู่บาส-เฟม ไม่ต้องพบกับความยากลำบากไปกว่านี้ เพราะทั้งคู่เริ่มต้นลงแข่งขันใหม่ด้วยกันจากอันดับ 307 ของโลก การไม่ได้เป็นมือวางในแต่ละรายการของกีฬาแบดมินตันนั้นหมายความว่าทั้งคู่มีโอกาสต้องเจอศึกหนักดวลกับบรรดาตัวเต็งตั้งแต่รอบแรก โดยเฉพาะรายการใหญ่ตั้งแต่ระดับ เวิลด์ ทัวร์ 750 ขึ้นไปที่บังคับท็อป 16 ของโลกลงแข่งขัน
ดังนั้นในเรื่องนี้ต้องยกเครดิตให้ทีมงานเอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่ ด้วยเช่นกันที่มองเกมขาดตัดสินใจให้บาสและเฟมเริ่มต้นใหม่ในช่วงเวลาที่ถูกต้อง ซึ่งช่วยลดภาระและความยากลำบากในการแข่งขัน ในทางกลับกันถ้าผลการจับสลากแบ่งสายเป็นใจ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการผ่านเข้าสู่รอบลึก ๆ ได้อีกด้วย ซึ่งจะทำให้เก็บคะแนนสะสมเพื่อไต่อันดับโลกได้มากขึ้น
นอกจากนั้นก็ต้องยกความดีความชอบให้กับตัวบาสและเฟมด้วยเช่นกัน ที่แม้ว่าจะไม่ได้มือวาง แต่ก็ยังร่วมแรงร่วมใจช่วยกันล้มบรรดาตัวเต็ง โดยเฉพาะในแมตช์ใหญ่มาเลเซีย โอเพ่น ที่ช่วยกันเอาชนะได้ทั้งมือ 2 ของโลกได้ในรอบ 2 และเอาชนะมือ 1 โลกได้ในรอบชิงชนะเลิศ
เป้าหมายสู่ Top 8 ของโลก
จากผลงานดีวันดีคืนทำให้อันดับโลกของคู่กระโดดขึ้นมาอยู่ที่ 14 ของโลกแล้ว ซึ่งเป้าหมายต่อไปคือติด 1 ใน 8 ของโลกให้ได้ เพื่อจะได้เป็นมือวางในแต่ละรายการ
ว่ากันตามตรงดูจากฟอร์มชั่วโมงนี้มีความเป็นไปได้ที่บาสและเฟมจะทำสำเร็จในเร็ว ๆ นี้ เพราะอย่างที่เกริ่นไปในด้านบนคู่ผสมระดับท็อป 6 ของโลกหายไปถึง 3 คู่ เมื่อมองดูรายชื่อไล่เรียงลงมา จะพบว่าคู่แข่งในระดับท็อป 8 ของโลกนั้น คู่ผสมของไทยเอาชนะมาได้แล้วทั้งนั้น อาทิ เฉิน ตัง เจี๋ย กับ โต๊ะ อี เหว่ย คู่มือ 3 ของโลกจากมาเลเซีย, โก๊ะ ซุนฮวด กับ ชีวอน เจมี ไล คู่มือ 4 ของโลกจากมาเลเซีย และทอม กิเกล กับ เดลฟิน เดลรู คู่มือ 8 ของโลกจากฝรั่งเศสต่างก็เสียท่าให้เรามาแล้วทั้งใน เจแปน มาสเตอร์ส 2024 และมาเลเซีย โอเพ่น 2025 ที่บาสและเฟมก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์
เท่ากับว่ายามเผชิญหน้ากับบรรดาคู่มือระดับท็อป 8 ของโลก บาสและเฟม ไม่มีความจำเป็นต้องกลัวอีกต่อไป ดังนั้นในอีกไม่ช้ามีโอกาสอันดีที่เราจะได้เห็นคู่ผสมของไทยกลับไปอยู่ในจุดสูงสุดได้อีกครั้ง
TAG ที่เกี่ยวข้อง