stadium

เส้นทางชีวิต "โอม-ชนาธิป" จากเด็กติดเกมสู่นักยัดห่วงทีมชาติ

4 กุมภาพันธ์ 2568

ในแวดวงนักยัดห่วงเมืองไทยชื่อของ ‘โอม-ชนาธิป จักรวาฬ’ นักบาสเกตบอลทีมชาติวัย 28 ปี เป็นที่รู้จัก และ คุ้นหูกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะหลังจากที่หนุ่มวัย 28 ปีรายนี้สร้างชื่อกระฉ่อนด้วยการเป็นนักบาสเกตบอลคนแรกของไทย ที่มีโอกาสได้เฉิดฉายโชว์ฝีไม้ลายมือยังลีกต่างแดน มิหนำซ้ำยังนำความสำเร็จมาสู่ทัพนักบาสเกตบอลไทยหลังจากที่ห่างหายมานานแรมปี

 

ความสำเร็จที่โอมทำได้มาจากโอกาสที่ถูกหยิบยื่น และ เขาพร้อมที่จะคว้ามันไว้ โอกาสที่เปลี่ยนเส้นทางความฝันจากเด็กน้อยธรรมดาสู่การเป็นนักกีฬาทีมชาติไทย แม้ว่าจุดเริ่มต้นจะเป็นอย่างไร แต่ทว่า ‘โอม’ พร้อมที่จะพลิกชะตาชีวิตเพื่อไปสู่เส้นชัยต่อให้จุดหมายจะไม่ใช่อย่างที่นึกฝันตั้งแต่แรกเริ่มก็ตามที

 

 

ทะยานจากโลกเสมือนสู่สนาม

 

ไม่มีใครรู้อนาคตของตัวเอง นี่คือประโยคที่เชื่อมโยงกับเส้นทางชีวิตของ ‘โอม’ ชนาธิป จักรวาฬ ได้ดีที่สุด จากผู้ที่เคยหลงใหลในเสียงดนตรีและมีความฝันว่าในวันหนึ่งจะต้องเข้าร่วมวงดุริยางค์ทหารให้ได้ แต่อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ไม่มีใครรู้อนาคต เมื่อช่วงเวลาผ่านไปความฝันของเขาก็พลิกผันตามเวลา

 

“ตอนเด็กชอบดนตรี พอเราเห็นวงดนตรีดุริยางค์ก็เลยสนใจว่าอยากที่จะลองเข้าไปเล่นเครื่องดนตรีสักอย่างแล้วก็มีโอกาสได้เข้าร่วมวงดนตรีดุริยางค์อย่างที่ตั้งใจ”

 

แต่บางครั้งชีวิตมักถูกลากจูงจากสิ่งเล้าภายนอกที่กระตุ้นต่อมอยากรู้อยากลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยเด็ก ‘โอม’ ที่เคยชอบดนตรีเป็นชีวิตจิตใจกลับกลายเป็นเสพติดการเล่นเกมเข้าเส้น

 

“ช่วงหนึ่งตอนอายุประมาณ 10 ขวบ ผมเป็นคนติดเกมมากๆ ช่วงนั้นเกมออนไลน์เริ่มเป็นที่นิยมในกลุ่มเด็กๆ ผมก็จะเข้าร้านเกมทุกวันในตอนเย็น ถึงขนาดท้าทายกับตัวเองว่าต้องไปให้สุด สุดในที่นี่คือเล่นยันโต้รุ่งเลยหรือบางครั้งต่อให้ไม่มีเงินก็ขอให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในร้านเกมก็ยังดีเรียกว่าเสพติดเกมเลยก็ได้” 

 

ความหลงใหลในโลกเสมือนจริงอาจสร้างตัวตนใหม่ให้กับโอม ทว่ามันกลับถูกทลายลงด้วยความท้าทายรูปแบบใหม่เมื่อขวบวัยเติบโตขึ้นทำให้วุฒิภาวะเจริญรอยตาม เมื่อโอมอายุได้ 14 ปีบริบูรณ์เขาได้มารู้จักกับกีฬา ‘บาสเกตบอล’ ตัวตนที่ถูกสร้างในโลกสมมติก็สลายกลายเป็นคนใหม่ในฐานะนักกีฬาบาสเกตบอล

 

“พอมาถึงจุดหนึ่งเรียกว่าเป็นจุดพลิกผันเลยก็ว่าได้ ในช่วง ม. 4 มีเพื่อนที่เรียนอยู่ด้วยกันได้ชักชวนให้รู้จักกับบาสเกตบอล มันเลยกลายเป็นว่าทุกวันเวลาหลังเลิกเรียนก็จะชวนกันไปเล่นบาสมากกว่าเข้าร้านเกม ถามว่ารู้จักกีฬาชนิดนี้มาก่อนมั้ย ยอมรับว่าไม่รู้จักเลย เพราะเราเป็นเด็กต่างจังหวัด พอมาเห็นว่ามันเป็นยังไงผมก็อยากที่จะเรียนรู้ อยากที่จะลองเล่นดู ครั้งแรกก็งงๆ เล่นก็เขินๆ เพราะผมเล่นไม่เป็นได้แค่ตัวสูงใหญ่กว่าเพื่อนในรุ่นเดียวกันแค่นั้นเองแต่พอได้เล่นแล้วก็รู้สึกสนุกไปกับมัน”

 

ภายหลังจากที่โอมได้สัมผัสกับลูกบาสฯ ทำให้เกิดความอยากรู้อยากลองสิ่งใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิม เขาเริ่มปรับตัวเข้ากับกีฬาที่แม้แต่ตนเองก็ยังไม่เคยรู้จักได้อย่างไร้รอยต่อและด้วยสรีระที่สูงใหญ่ถึง 190 เซนติเมตร ณ เวลานั้น ทำให้ผู้ฝึกสอนจากต่างโรงเรียนสนใจในตัวโอมและดึงเข้าสู่ทีม นับแต่นั้นเส้นทางชีวิตของโอมก็เปลี่ยนไปตลอดกาล

 

 

จากเด็กติดเกมสู่การเป็นนักบาสฯ ทีมชาติ

 

ไม่แน่ใจว่าในช่วงชีวิตคนๆ หนึ่งจะถูกหยิบยื่นโอกาสอันแสนมีค่าให้กี่ครั้ง แต่สำหรับโอมโอกาสอันล้ำค่าถูกเสนอให้กับเขาอีกเป็นครั้งที่สอง เมื่อโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี อะคาเดมี่ของสโมสรไฮเทค ทีมบาสเกตบอลชั้นนำของเมืองไทย ติดต่อและชักชวนให้โอมไปร่วมทีมฝึกซ้อม แม้ท่าทีจะละล้าละลัง แต่ท้ายที่สุดคนเราก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตเสมอ

 

โอมเล่าต่อว่า หลังจากที่ตอบตกลงที่จะเข้าร่วมฝึกซ้อมกับโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี สิ่งแรกที่เขาต้องเจอคือการเข้าแคมป์เก็บตัว โอมบอกว่ารู้สึกเหนื่อยและท้อเพราะไม่เคยเจอรูปแบบการซ้อมที่เข้มข้นแบบนี้มาก่อนในชีวิต

 

“หลังจากเก็บตัวที่อัสสัมชัญธนบุรีเรียบร้อยแล้ว ผมก็มีโอกาสได้ไปเก็บตัวที่สโมสรทิวไผ่งาม ก็ได้ไปฝึกไปเรียนรู้ ไปดูว่าการใช้ชีวิตของเด็กที่นั่นว่าเป็นยังไง พอกลับมาบ้านก็คิดอยู่นานว่าจะเลือกไปอยู่ที่ไหนสุดท้ายก็เลือกที่อัสสัมชัญธนบุรี เพราะเหมือนกับว่าเขาทำ MOU กับสโมสรไฮเทคเอาไว้และมีการจัดการทุกอย่างไว้ดีก็เลยรู้สึกว่าที่นี่น่าจะเหมาะสมกับเรามากกว่า”

 

เพียงขวบปีแรกที่โอมฝึกทักษะกับโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี เขาก็สามารถทะยานสู่การเป็นนักกีฬาเยาวชนทีมชาติได้สำเร็จ ด้วยวัย 16 ปี นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจกับเด็กหนุ่มที่ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือเมื่อถูกหยิบยื่นให้ตรงหน้า

 

“อาจจะด้วยรูปร่างที่สูงโค้ชจึงมองว่าอย่างน้อยน่าจะช่วยรีบาวน์ได้ก็เลยได้ติดชุดเยาวชนทีมชาติ หลังจากนั้นพอผมเล่นจบก็ถูกดันขึ้นทีมชาติชุดใหญ่จากตัวสำรองรุ่นพี่ในทีมผมก็พัฒนาฝีมือเรื่อยๆ จนเป็นผู้เล่น 5 คนแรกได้สำเร็จ ผมก็ไม่เคยคิดฝันไว้หรอกว่าจะติดทีมชาติ หวังแค่จะนำโควต้าเยาวชนทีมชาติไปสมัครเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ และพอเรียนจบออกมาก็จะได้หางานดีๆ ทำเป็นอาชีพ แต่พอรู้ว่าตัวเองติดทีมชุดใหญ่ผมก็มองไกลไปถึงการเล่นบาสฯ เป็นอาชีพ มันคือฝันสูงสุดของผมในตอนนี้”

 

สมดั่งใจฝัน การติดทีมชาติของโอมยังสามารถสร้างประวัติศาสตร์การคว้าเหรียญทองบาสเกตบอลประเภท 3v3 ในการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่ประเทศกัมพูชา นับว่าเป็นความสำเร็จที่สมาคมบาสเกตบอลแห่งประเทศไทยที่ห่างหายไปพอสมควร

 

“ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีโอกาสได้มาเป็นนักกีฬาทีมชาติไทยชุดใหญ่ เพราะช่วงที่ติดเกมหนักๆ คิดว่าจะเป็นเกมเมอร์ให้ได้อย่างเดียว เหมือนว่าเราติดยาเสพติดอย่างหนึ่งไปเลย แต่พอมานั่งย้อนคิดกลับไปก็ตลกดีต้องขอบคุณตัวเองที่ก้าวผ่านจุดนั้นมาได้”

 

 

ท้าทายความฝันกับความแตกต่างลีกไทยและเทศ

 

ด้วยผลงานที่โดดเด่นทั้งในระดับทีมชาติและสโมสรทำให้โอมถูกจับตามองอย่างมากทั้งในไทยและระดับอาเซียน และเป็นอีกครั้งที่โอกาสมาถึงเมื่อสโมสร ‘นิวไทเป ซีทีบีซี ดีอีเอ’ ในลีกประเทศไต้หวันยื่นข้อเสนออันแสนเย้ายวนใจ พร้อมรับค่าเหนื่อยจำนวน 6 หลักต่อเดือนเป็นสิ่งตอบแทน โอมไม่ปล่อยโอกาสอันมีค่าหลุดลอยเขาตอบตกลงพร้อมกับกลายเป็นนักบาสเกตบอลไทยคนแรกที่ได้ไปเล่นลีกต่างแดน

 

“ในช่วงที่ไปไต้หวันเป็นช่วงที่กำลังจะปิดลีกในไทยแล้ว เป็นจังหวะที่มีสโมสรจากไต้หวันติดต่อมาทางสโมสรไฮเทคโดยตรงว่ามีความสนใจเพราะเขาเคยเห็นคลิปของผมในยูทูปในตอนที่ไปแข่งที่ประเทศฟิลิปปินส์ ผมทำคนเดียว 31 แต้มก็เลยติดต่อเข้ามา ผมไม่ลังเลอะไรเลยตอบตกลงทันที

 

แต่ในมุมของผมไม่อยากให้ทุกคนคิดว่าผมคือคนไทยคนแรกที่ไปเล่นลีกต่างประเทศ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีคนไทยไปเล่นลีกสหรัฐอเมริกามาก่อนแล้ว มันก็รู้สึกดีใจ ดังนั้นผมจึงอยากบอกว่าคนไทยว่าเราก็สามารถไปเล่นลีกต่างประเทศได้เหมือนกัน ซึ่งส่วนตัวผมเองก็จะขอเป็นกำลังใจให้กับเยาวชนต่อไป”

 

แน่นอนว่าการเล่นลีกอาชีพยังต่างแดนคือประสบการณ์ที่ล้ำค่าสำหรับโอม แต่อย่างไรก็ตามโอมตั้งข้อสังเกตว่าหากระบบการจัดการในบ้านเรามีความเป็นมืออาชีพและเกิดการผลักดันอย่างเป็นรูปธรรม เขาเชื่อว่าลีกไทยก็สามารถพัฒนาไปได้ไกลเทียบชั้นระดับโลก

 

“ลีกต่างประเทศมีการแข่งขันที่สูงกว่าบ้านเรา มีการแย่งชิงตัวนักกีฬาเพื่อทำให้ทีมก้าวไปสู่จุดสูงสุด แต่ตัดมาที่บ้านเรานั้นมันยังไม่มีการแข่งที่มากพอมันจึงเป็นสาเหตุให้ลีกไทยยังอยู่ในระดับทรงตัว ยังไม่ใช่จุดสูงสุด แต่เพราะผมเชื่อว่าลีกไทยยังสามารถไปได้ไกลกว่านี้ สิ่งที่ต้องปรับปรุงคือการที่สโมสรใหม่ๆ เกิดขึ้นจำเป็นต้องมีผู้สนับสนุนทีมเพราะจะทำให้ลีกนั้นโตขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น ลีกฟุตบอลที่ทุกวันนี้พัฒนาไปไกลมากแล้วถ้าบาสเกตบอลเป็นแบบนั้นได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก”

 

โอมอธิบายเพิ่มด้วยว่า ตัวอย่างการวางรากฐานและระบบการจัดการที่ดีที่เด่นชัดที่สุดในบ้านเราคือ YBL ลีกหรือลีกสำหรับเยาวชนที่เป็นพื้นที่แสดงศักยภาพเพื่อต่อยอดไปสู่ระดับนักกีฬาทีมชาติไทยในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกันทั้งระบบไม่ว่าจะเป็นการโปรโมท การสนับสนุนและเป็นการเปิดโอกาสให้เยาวชนที่สนใจกีฬาบาสเกตบอลได้แสดงออกอย่างเต็มที่

 

แม้จะผ่านความท้าทายและอุปสรรคมากมาย โอมยังมองเป้าหมายในอนาคตไว้ว่าอยากกลับไปเล่นในลีกต่างประเทศอีกครั้ง ในอนาคตเขาตั้งใจว่าต้องการที่จะเปิดอะคาเดมี่สอนบาสเกตบอลให้เด็กๆ พร้อมกับการส่งเสริมวงการบาสเกตบอลในประเทศไทยให้เติบโตและแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะเขาเชื่อว่าการเปิดรับสิ่งใหม่ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้กับชีวิตเช่นกัน


stadium

author

ปวีน เทพพวงทอง

StadiumTH Content Creator / เชียร์หงส์แดง รักการเดินป่า เสพติดหมูกระทะ

โฆษณา