10 ธันวาคม 2567
ติดธงไตรรงค์ที่หน้าอกในฐานะตัวแทนทีมชาติไทยในการแข่งขันซีเกมส์ 3 สมัย คือ เกียรติประวัติสูงสุดในฐานะนักวิ่งของ "ตา" วรพรรณ นวลศรี เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จากจังหวัดกระบี่ ที่เส้นทางการวิ่งได้เปลี่ยนชีวิตเธอตลอดไป
การวิ่งคือความรัก สำหรับ "ตา" วรพรรณ และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่ขาดไม่ได้สำหรับเธอ เริ่มต้นตั้งแต่ประถมปีที่ 5-6 กับการวิ่งทางไกล และระยะกลาง ไต่เต้าจากในโรงเรียน ไปถึงระดับอำเภอและจังหวัด
“โค้ชที่โรงเรียนเห็นแววหนู ก็พาไปสมัครโรงเรียนกีฬาที่นครศรีฯ ไปซ้อมอยู่กับโค้ช 400 เมตร จนมีโค้ชจีนเข้ามาอยู่ได้ปีกว่า เพราะอยากผลักดันการวิ่งทางไกลของโรงเรียน ตอนนั้นโค้ชจีนซ้อมหนักมาก หลายคนก็ไม่ไหว แต่หนูยังอยู่ จนติดทีมชาติ มีแค่หนูคนเดียว ซึ่งตอนนั้นอยู่ม.1”
ตาเล่าว่า ประสบการณ์ในการซ้อมวิ่งกับโค้ชจากจีน แม้จะหนักมาก ทั้งการเก็บระยะ ลงคอร์ท แต่โค้ชมีลูกเล่นที่ทำให้ซ้อมได้จบ และกำหนดเรื่องเวลาที่ต้องลดลงทีละนิด จนสามารถทำได้ ซึ่งในตอนนั้นเธอยังไม่รู้เป้าหมายของตัวเอง แต่ในยุคนั้นมีโครงการสปอร์ตฮีโร่ ที่จะมอบเงินเดือนให้กับเด็กที่ได้เข้าร่วม กลายเป็นเป้าหมายแรกในฐานะนักกีฬา
“เป้าแรกก็เลยกลายเป็นสปอร์ตฮีโร่ค่ะ ได้เงินเดือน 3,000 เป็นทุนของจังหวัด หนูอยากหาเงินไปซื้อรองเท้าดีๆ แล้วที่บ้านก็ชอบให้ออกกำลังกายทุกอย่าง แล้วตอนเด็กหนูกับพี่ ทำกิจกรรมกันอยู่แค่สองคน ทั้งวิ่ง ว่ายน้ำ แม่ก็หาให้ไปทำตลอด พาไปเรียนภาคฤดูร้อน หนูเองก็ชอบด้วย พอไปเรียนแป๊บๆ ก็ทำได้ทำได้ดีด้วย สุดท้ายก็ติดสปอร์ตฮีโร่จริงๆ ก็ถือว่าได้มาอยู่แนวหน้า”
ในตอนนั้น สมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย เข้ามาทาบทามตาว่าหากสามารถผ่านการแข่งขันงานหนึ่งได้ จะได้ติดเยาวชนทีมชาติ คือ กีฬานักเรียนไทย ตาลงแข่ง 5,000 เมตร และประสบความสำเร็จ คว้าเหรียญทองได้ จึงได้เป็นเยาวชนทีมชาติ เข้ามาซ้อมหนักมากขึ้น เพื่อคัดกีฬาแห่งชาติในรุ่นประชาชน และนำมาสู่การติดทีมชาติซีเกมส์ในเวลาต่อมา
“หนูก็แข่งกีฬาแห่งชาติได้เหรียญทอง 5,000 เมตร ก็เลยได้ไปซีเกมส์ที่ลาว ตอนนั้นดีใจมาก แล้วสมาคมก็จะให้โค้ชไปด้วยแต่โค้ชไม่ไป“ ตา เล่าถึงโค้ชบ่าว เกียรติศักดิ์ แสงชัยศรี ที่ดูแลเธอมาตั้งแต่แรกเริ่มต้น พร้อมกับโค้ชชาวจีนที่อยู่ได้หนึ่งปีแล้วกลับไป แต่โค้ชบ่าวอยู่รับไม้ต่อ และดูแลจนถึงช่วงเวลาที่ได้ติดซีเกมส์
”หนูรู้สึกมันเร็วมาก เกินเป้าหมาย เพราะไม่ได้คิดว่าจะติดทีมชาติเร็วขนาดนี้ หนูไม่เคยเล่นมือถือ ไม่รู้จักใคร อยากวิ่งอย่างเดียว พอติดทีมชาติก็ซ้อมหนักขึ้น ยังซ้อมที่โรงเรียนกีฬานครศรี จนหนึ่งเดือนก่อนแข่ง สมาคมก็ให้เข้ามาเก็บตัว หนูไม่รู้จักใครเลย ก็ซ้อม กินข้าว ขึ้นห้อง หนูขี้อายอยู่แล้ว ไม่กล้าคุยกับใคร“
สรุปสุดท้ายซีเกมส์แรกจบด้วยการได้อันดับ 5 การแข่งขัน 5,000 เมตรและ 10,000 เมตร คู่กันกับ นิ สนธิยา สายแวว ตามมาด้วยการได้ร่วมแข่งอินดอร์ เอเชียนบีช และซีเกมส์ครั้งที่ 2 ที่อินโดนีเซีย หลังจากได้เข้ามหาวิทยาลัย
“พอเข้ามหาวิทยาลัยหนูเรียนหนักมาก ก็ต้องมาซ้อมที่ม.เกษตร แล้วเข้าไปเทสต์ที่สมาคม จนได้ติดทีมชาติ ครั้งนี้มีปัญหาเหมือนครั้งก่อน เพราะซ้อมดี แต่ช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนแข่งเจอปัญหาป่วย ต้องฉีดยา ทั้งที่กำลังเข้าพีก แล้วจนสถิติวูบไป เวลาไม่ดีเท่ากับตอนซ้อม 5,000 เมตรได้ 17.40 นาที เวลาไม่ยอมลดลง หนูยอมรับว่าเสียใจและผิดหวัง คิดว่าตัวเองไม่พัฒนา”
แต่ใจรักในการวิ่ง ทำให้เธออยากกลับมาซ้อมต่อ และได้รับโอกาสในการติดซีเกมส์ครั้งที่ 3 ที่มาเลเซีย แม้จะพยายามดีที่สุดแล้ว แต่สถิติก็ยังไม่ดีขึ้น แต่การติดทีมชาติ ก็คือความน่าภาคภูมิใจ ทั้งกับตัวเอง ครอบครัว และโรงเรียน
“ตอนติดทีมชาติครั้งแรกหนูได้ไปขึ้นเวทีที่โรงเรียน พูดให้น้อง ๆ ฟัง มีติดป้ายแสดงความยินดีกับหนู ก็ไปเล่าประสบการณ์ จากจุดที่ไม่รู้เลยว่าชอบหรือเปล่า แค่ทำกิจกรรมกับพี่ และทำมาเรื่อย ๆ จนมาได้ขนาดนี้ ซึ่งเกินฝันไปมาก ทุกคนก็ไม่คิดว่าหนูทำได้ เพราะหนูตัวเล็กมาตั้งแต่เด็ก แต่สุดท้ายหนูได้กลายเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับรุ่นน้องต่อไป เพราะหนูคือทีมชาติคนเดียวของโรงเรียน”
ส่วนครอบครัว พ่อและแม่ดีใจและภูมิใจในตัวเธอเสมอ เพราะไม่เคยคิดว่าลูกสาวจะถึงขั้นติดทีมชาติ ได้ติดธงไตรรงค์ลงสนามแข่งขันในมหกรรมกีฬาซีเกมส์
“เหรียญแรกในชีวิตหนูกว่าจะได้มาคือต้องซ้อม 3 ปีถึงทำได้ เป็นกีฬาดาวรุ่งแห่งประเทศไทย เป็นเหรียญทองแรก ระยะ 3,000 เมตร ตอนเข้าเส้นชัยมา หนูยังจำได้ว่ามือชาหน้าชาไปหมด หนูวิ่งอย่างเดียวไม่รู้จักใครเลย มีโค้ชคอยบอกเวลาข้างสนาม หนูคิดว่าสามปีนั้น คุ้มค่ามาก ชีวิตหนูเปลี่ยนไปเยอะ จนถึงปัจจุบันนี้”
3 ปีก่อน ช่วงปี 2564 ก่อนที่จะตัดสินใจกลับไปอยู่บ้านที่ภาคใต้ ตาเคยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยโค้ชสำหรับนักวิ่งถนน ควบคู่ไปกับการเป็นนักวิ่งถนนที่ลงแข่งเป็นประจำในแต่ละสัปดาห์ แต่จุดพลิกผันเกิดขึ้นในช่วงโควิดระบาด ความเป็นห่วงของพ่อแม่ ทำให้เธอตัดสินใจย้ายกลับไปอยู่บ้าน จนถึงตอนนี้ผ่านมา 3 ปีแล้ว
“คือโควิดรอบแรกยังอยู่กรุงเทพ แต่พอรอบ 2 พ่อแม่ห่วง เลยตัดสินใจกลับมา บวกกับได้ดูแลพ่อแม่ จนอยู่ยาว 3 ปี(หัวเราะ)”
แต่ช่วงเวลาของการกลับไปอยู่บ้านทำให้เธอมีโอกาสได้ลงแข่งมาราธอนแรก เป็นมาราธอนที่เธอบอกว่าทรมานมาก เพราะติดโควิดก่อน หายได้ 3 วันแล้วไปแข่ง คือ ยะลามาราธอน 2022 “แต่ก็ผ่านไปได้ หลังจากโล 30 ไปก็คือวิ่งไปจ๊อกไป แต่จบ ติดอันดับ 2 สถิติ ที่ 4.02 ชั่วโมง ไม่เคยวิ่งนานขนาดนี้ จนขาเหมือนจะยกไม่ขึ้น มีแรง แต่เมื่อยมาก หนูมีทุนเดิมอยู่ แต่แรงหมด“
แม้ในปัจจุบันด้วยภาระด้านหน้าที่การงานในการเป็นครู ทำให้วงการวิ่งถนนของประเทศไทยห่างหายจากการได้ยินชื่อของ ตา วรพรรณ ไประยะหนึ่ง แต่แพสชั่นในฐานะนักวิ่งของผู้หญิงคนนี้ไม่เคยลดน้อยลง
“ตอนนี้ก็ยังวิ่งอยู่ค่ะแต่ไม่เต็ม 100 เหมือนเดิม หนูไปเป็นครูโรงเรียนมัธยมโรงเรียนสภาราชินี จังหวัดตรัง สอบเป็นครูลูกจ้างได้ หน้าที่รับผิดชอบก็เยอะขึ้น สอนเต็มเวลาเนาะ ก็ไปช่วยทำทีมบาส เพราะโรงเรียนมีชื่อเสียงเรื่องบาส ได้สอนวิ่งด้วย เคยพาเด็กไปแข่งวิ่งด้วยค่ะ”
ตา เล่าถึง หน้าที่การงานปัจจุบันของเธอในโรงเรียนใหญ่ประจำจังหวัดตรังที่ผลิตเด็กเรียนด้านวิชาการเป็นอันดับสองของจังหวัด ถือเป็นเด็กหัวกะทิ ทางด้านวิชาการและกีฬา โดยเธอสอนในระดับชั้นมัธยมปีที่สอง และปีที่ห้า
“ใจหนูอยากวิ่งอยู่ตลอด อยากวิ่งมาก อยากกลับไปวิ่ง ปีที่แล้วก็ตั้งใจว่าอยากกลับไปซ้อม เพราะอยากติดซีเกมส์ครั้งหน้าที่ไทยเป็นเจ้าภาพ แต่ยังจัดการตัวเองไม่ได้สักที จากสมัยก่อนซ้อมกินนอน ตอนนี้ทำไม่ได้ แต่ก็ยังอยากกลับไปวิ่งมาราธอนอีกครั้ง ถ้ามีโอกาส”
ถ้าย้อนกลับไปได้เธออยากบอกตัวเองว่านี่คือทางเลือกที่ถูกต้องแล้ว เพราะมันได้สร้างความสุข เพิ่มความมั่นใจ ให้กับคนขี้อาย จากเด็กผู้หญิงตัวเล็กจากภาคใต้ ปลดล็อกตัวเองหลายอย่าง เพราะความอดทน ขยัน และตั้งใจ ที่ทำให้พัฒนามาได้จนถึงจุดนี้
“ใจหนูตอนนี้ก็มีเป้าหมายว่า อยากมีเด็กที่เราดูแล เฟ้นหาเด็กที่อยากวิ่งจริงๆ ในจังหวัด เด็กที่ไม่ใช่แค่อยากเป็นตัวแทนเพื่ออวดเพื่อน มาเป็นแนวหน้าของจังหวัดบ้านเกิด หนูก็มองเห็นหลายคนในตอนนี้
และอนาคตของตัวเองเรื่องของการวิ่ง ปีหน้าถ้ามีโอกาส อยากพิสูจน์ตัวเองในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติอีกครั้ง หลังจากหยุดมาได้ 3 ปี รวมถึงการท้าทายมาราธอนเพื่อคัดตัวซีเกมส์ประเทศไทย 2568”
TAG ที่เกี่ยวข้อง