3 ธันวาคม 2567
4 เหรียญรางวัล จากการรับใช้ชาติในฐานะนักกีฬาวิ่งระยะกลางซีเกมส์ คือ ความภูมิใจสูงสุด ของ โยธิน ยาประจันทร์ ซึ่งปัจจุบัน บทบาทในฐานะนักวิ่งแม้จะลดลงบ้างแล้ว แต่นักวิ่งผู้มากพรสวรรค์ จาก จ.สตูล คนนี้ กำลังจะกลับมามีบทบาทใหม่ในวงการวิ่งอีกครั้ง
ปัจจุบัน โยธิน รับราชการทหารที่จังหวัดลพบุรี ที่หน่วยสงครามพิเศษ ทำให้หายไปจากสนามแข่งวิ่งระยะหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มต้นปี 2567 แต่ยังคงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อเตรียมพร้อมในการกลับมาอีกครั้งในฐานะโค้ช
“ปลายปีที่แล้วยังได้วิ่งอยู่บ้าง แต่ปีนี้งานเยอะ และมีภารกิจยาว แต่ก็มีแพลนจะกลับไปสมาคมมาช่วยดูน้องๆ 800 และ 1,500 ก็จะได้กลับมาในด้านวิ่งอย่างเต็มตัว ผมก็มีอบรมนักวิทยาศาสตร์การกีฬา ได้ใบอนุญาตจากการกีฬาแห่งประเทศไทย เน้นไปที่เชิงการพัฒนาศักยภาพ กับความรู้วิทยาศาสตร์การกีฬา“
ตอนนี้ โยธินรับหน้าที่โค้ชฝึกสอนวิ่งทางถนนแบบออนไลน์อยู่แล้ว และไม่ได้เน้นเรื่องการลงแข่งเอง แต่ให้ความสำคัญกับการดูแลนักกีฬา และมีความตั้งใจเดิมที่อยากจะกลับมาช่วยงานของสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทยฯ เนื่องจากนักวิ่งระยะกลางในตอนนี้ แม้จะมีตัวเลือกเยอะขึ้น แต่นักวิ่งในระดับท็อปหายไป
“คือคนที่เก่งในระดับท็อปมันหายไปครับ ส่วนมากอายุไม่เกิน 20 ปี จะอยู่ในช่วงกำลังพัฒนา แต่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนเข้ามหาลัย ต้องเลือกทางชีวิตในตอนนี้ บางคนก็หยุดไปช่วงหนึ่งแล้วกลับมาอีกครั้ง ผมก็เคยผ่านช่วงเวลานี้มาเหมือนกัน ก็ได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ให้ได้กลับเข้าไปมีส่วนช่วยตรงนี้“
ย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาของการติดทีมชาติครั้งแรกของโยธิน มีจุดเริ่มต้นเหมือนกับนักวิ่งทีมชาติไทยคนอื่น คือ การได้แชมป์กีฬาแห่งชาติ แชมป์กีฬากองทัพไทย เริ่มไต่บันไดจากมัธยมปลาย มีจุดเริ่มต้นจากการแข่งระยะไกล 5,000 และ 10,000 เมตร ก่อนจะได้เข้ามาซ้อมกับทีมชาติไทย เก็บตัว และเทสต์เวลา สำหรับซีเกมส์ปี 2013 ที่เมียนมา
"มาซ้อมทีมชาติกับโค้ชปีเตอร์ แล้วก็กลับมาซ้อมกับสมาคมเพื่อไปแข่งชิงแชมป์ แล้วได้ไปเทสต์ซีเกมส์ 800 และ 1,500 ที่เมียนมา ซีเกมส์แรกก็ได้ที่ 4 ระยะ 800 และที่ 5 ระยะ 1,500 ก็เป็นครั้งแรกที่ติดทีมชาติชุดใหญ่ แล้วตามมาด้วยการแข่งนานาชาติหลายแมตช์ตลอดปี 2014 หลังจากนั้นก็วิ่ง 800 และ 1,500 เมตรมาตลอด ได้แชมป์มาเลเซียโอเพ่น ไทยแลนด์โอเพ่น"
ซีเกมส์ครั้งที่ 2 ก็มาถึงในปี 2015 ซึ่งสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพ ถือเป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะกับความแข็งแรงของโยธิน ซึ่งอายุครบ 23 ปีในปีนั้น ทำให้โชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยม 2 เหรียญทองแดงทั้ง 2 ระยะ ตามมาด้วยซีเกมส์ที่มาเลเซียปี 2019 ขยับขึ้นมาได้เหรียญเงินในระยะ 1,500 เมตร
"ก็มุ่งทาง 1,500 เมตรมาตลอด เป็นหลัก ได้ไปแข่งระดับเอเชียที่อินเดีย คือ ชิงแชมป์เอเชียก็เข้าได้ถึงรอบชิง และเอเชียนอินดอร์ ที่เติร์กเมนิสถาน ก็ทำเวลาได้ดี จนได้ไปซีเกมส์ที่ฟิลิปปินส์ปี 2021 ก็ได้เหรียญทองแดง 1,500 เมตรอีกครั้ง
หลังจากนั้นการแข่งขันกีฬาในระดับมหกรรมก็หยุดชะงักเพราะการระบาดของ โควิด-19 ทำให้โยธินเองก็ต้องว่างเว้นไปช่วงหนึ่ง จึงมีโอกาสได้ลงแข่งทางถนนคือรายการบางแสน 21 ปี 2020 ทำสถิติได้ดีมาก กลายเป็นสถิติที่ดีที่สุดของตัวเองที่เวลา 1 ชั่วโมง 10 นาที ได้อันดับ 3 โอเวอร์ออลคนไทย หลังจากนั้นก็กลับไปเก็บตัวและเกิดอาการบาดเจ็บ
“พอไปแข่ง 21 กิโล ซ้อมไกลมากขึ้น ผมรู้สึกสนุกไปอีกแบบ บวกกับมีเป้าหมายพอได้เซ็นกับแบรนด์เอสิกส์ ซึ่งตอนแรกมีโอกาสจะได้ไปโตเกียวมาราธอนในปี 2020 แต่ยกเลิกเพราะโควิด จนถึงทุกวันนี้เลยยังไม่ได้วิ่งมาราธอนสักครั้ง (หัวเราะ) แต่ก็ได้ไปแข่งชิงถ้วยพระราชทานที่เขาชะโงกระยะ 33 กิโล และได้แชมป์”
โยธินบอกว่า ส่วนตัวรู้สึกชอบทั้งการแข่งทางถนนและในลู่ยาง เพราะมีแพชชั่นกับการวิ่งอยู่แล้ว จะเป็นรูปแบบใดก็ได้ และช่วงที่เจอโควิดก็มีโอกาสได้สัมผัสกับงานโค้ช ซึ่งส่วนตัวโยธินบอกว่า พอใจในเป้าหมายการเป็นนักวิ่งของตัวเองแล้ว เพราะเคยได้ผ่านถึงระดับเอเชียนเกมส์ ซึ่งปีนั้นจัดที่อินโดนีเซีย ถึงจะไม่ติดเหรียญ แต่ได้พิสูจน์ตัวเอง เพราะต้องยื่นเวลาเพื่อเข้าร่วม
“เป้าหมายนักวิ่งของผมก็ถือว่าทำได้แล้ว เรื่องเอเชียนเกมส์ ที่ได้ไป เพราะต้องทำผลงานให้ดีก่อน ส่วนเป้าต่อไปผมเคยตั้งใจว่าจะวิ่งทางไกล แต่เจ็บก่อน ก็เลยหาทางอบรมอะไรไปเรื่อยๆ รู้สึกสนุกไปอีกแบบ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปดูแลนักวิ่งเด็กแบบใกล้ชิด แบบไปปั้นเด็ก ซึ่งหลังจากนี้ก็คงเป็นความท้าทายอีกแบบของผม”
โยธินทิ้งท้ายถึงนักวิ่งรุ่นใหม่ฝากถึงรุ่นน้องทุกคนให้ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ว่าต้องการอะไรในการเข้ามาเป็นนักวิ่ง เมื่อตั้งเป้าหมายแล้ว ให้พยายามไปให้ถึง โดยอย่าท้อแท้ไปก่อน ให้ขยันซ้อมให้เยอะ แบบมีเป้าหมายและความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
“ก็ต้องทำให้เด็กไปให้ไกลที่สุด อยู่ให้ได้นานที่สุด ไม่ใช่ว่าเก่งแล้วหายไป ต้องยอมรับว่าสมัยนี้สิ่งเร้ามันเยอะ ถ้าใครอยู่ได้ก็มีโอกาสไปได้ไกล ตอนนี้ถึงการวิ่งระยะทางไกลเราจะยังตามหลังเพื่อนบ้านอยู่ระดับหนึ่ง เพราะมันขาดช่วงไป หลังจากรุ่นพี่เลิก ก็หาน้องมาเติมเต็มไม่ทัน แต่เชื่อว่าจะมีเด็กที่พร้อมจะทำให้การวิ่งระยะกลางทีมชาติไทย กลับมาสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติอีกครั้ง“
TAG ที่เกี่ยวข้อง