28 พฤศจิกายน 2567
ประกาศอำลาทีมชาติไปเมื่อปี 2565 สำหรับ มิ้ว-จิระพงศ์ มีนาพระ ตำนานลมกรด สปรินเตอร์ทีมชาติไทย แต่ยังคงปรากฏตัวอยู่ในแวดวงกรีฑา และเป็นแรงบันดาลใจของนักวิ่งยุคปัจจุบัน นี่คือเรื่องราวของ มิ้ว นักวิ่งไทยที่ถือว่าประสบความสำเร็จสูงสุดในยุคหนึ่ง และมุมมองในฐานะนักวิ่งรุ่นพี่ ต่อวงการวิ่งไทยสู่ยุคใหม่
ตอนนี้มิ้ว รับราชการเป็นข้าราชการตำรวจ ฝ่ายสวัสดิการกีฬา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และยังมีบทบาทในฐานะนักกีฬาของต้นสังกัด รวมทั้งเพิ่งแข่งขันในกีฬากองทัพไทย 2567 มาหมาด ๆ
”โอนย้ายมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สองปีครับ มีแข่งล่าสุดไปในกีฬากองทัพไทย กับชิงแชมป์ประเทศไทย ส่วนอนาคตจะเป็นยังไงก็ขอดูอีกทีนึง (หัวเราะ)“
ขณะที่กีฬาแห่งชาติปี 2023 มิ้วยังปรากฏตัวในทีม ผลัด 4x100 ม.ชาย ทีมกรุงเทพมหานคร และคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ทีมชุดนี้ประกอบด้วย "ยูเซนมิ้ว" จิระพงศ์ มีนาพระ ไม้ 1, "แม็ค" ณัฐพงศ์ วีระวงศ์รัตนศิริ ไม้ 2, "ไอซ์" ชยุตม์ คงประสิทธิ์ ไม้ 3 และ "มอส" บัณฑิต ช่วงไชย ไม้ 4
จากนั้น มิ้วก็ยังลงแข่งในกีฬากองทัพไทย และชิงแชมป์ประเทศไทย ในฐานะนักกีฬาสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมลงสนามเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักวิ่งรุ่นน้องในการแข่งปีล่าสุด
ตลอดระยะเวลาในการรับใช้ชาติในฐานะนักวิ่ง มิ้ว ถือว่ามีเส้นทางที่โลดโผน แต่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยการคว้าแชมป์วิ่งระยะสั้น ในศึกซีเกมส์ ได้ถึง 6 เหรียญทอง เขายังเป็นกำลังสำคัญในการพาทีมไต้ฝุ่นหนุ่ม 4×100 เมตร คว้าแชมป์เอเชีย ปี 2018 รวมทั้งศึกเอเชียนเกมส์ 2010 อีกด้วย
ซึ่งหนึ่งในรายการแข่งขันที่ภูมิใจมากที่สุด มิ้ว บอกว่า คือ ชิงแชมป์เอเชียปี 2018 ที่ประเทศจีนนั่นเอง
“รายการนั้นลงทั้งทีมผลัด และประเภทเดี่ยว มีความมั่นใจ หลายๆ อย่าง มีเพื่อนร่วมทีมที่ดี และมีไปเก็บตัวที่อเมริกา บวกกับความกระหายของผมหลังจากโดนแบน และได้โอกาสในการพิสูจน์ตัวเอง ตอนนั้นอายุ 26 ปี ก็พิสูจน์ว่าผมทำได้ วิ่ง 10.30 ในยุคนั้น คือ ระดับอาเซียนและเอเชีย แพสชั่นตอนนั้นมีมากจริงๆ เพราะโดนแบนมาสองครั้ง แต่ยังไปเทสต์แล้วทำผลงานได้ดีที่สุด” มิ้วเล่าย้อนหลัง ถึงการแข่งขัน ที่ภูมิใจมากที่สุด
แม้สุดท้ายสามปีถัดมา มิ้วจะเลือกวางมือจากทีมชาติ โดยเผยความในใจผ่านเฟสบุ๊คว่า “ผมขออนุญาตใช้พื้นที่ส่วนตัวทางช่องทางนี้ เพื่อที่จะได้สื่อว่าผมได้เลิกเล่นทีมชาติไทยอย่างเป็นทางการ มิ้วภูมิใจทุกครั้งที่ได้รับใช้สมาคมกรีฑา กับประเทศไทย ผมมาจากเด็กต่างจังหวัดที่มาแข่งกีฬากรมพลศึกษา ที่นั่งรถไฟชั้น 3 ณ ตอนนั้น ผมมีความสุขมาก ๆ สำหรับกีฬาวิ่งระยะสั้น กรีฑาสร้างหลาย ๆ อย่างให้กับมิ้ว ทั้งมิตรภาพจนถึงหน้าที่การงาน”
จากวันนั้นแม้จะไม่ได้แข่งขันในนามทีมชาติแล้ว แต่บทบาทของนักกีฬาก็ยังคงมีอยู่ และยังถือว่าเป็นคนในแวดวงวงในจนถึงยุคนี้ มิ้วมองว่าจุดต่างของการวิ่งยุคนี้ กับยุคสมัยของตัวเองถือว่า เปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก
“พวกอุปกรณ์นี่เปลี่ยนเยอะครับ รองเท้าช่วยส่งได้เยอะมาก เทคโนโลยีเปลี่ยนมาก แค่สี่ถึงห้าปีเท่านั้น หลังโควิดปี 2019 ทุกแบรนด์สินค้าแข่งกันและเน้นเรื่องนี้ อย่างสมัยผม ปืนนวด คือหายากมาก แต่สมัยนี้ราคาไม่แพงแล้ว มีส่วนเปลี่ยนแปลงวงการวิ่งเยอะ ก็หมายถึงวิทยาศาสตร์การกีฬาที่เปลี่ยนไปเยอะมาก และชัดเจนมากในบ้านเรา”
ในขณะเดียวกัน มิ้ว ยังมองว่า ปัจจุบันกรีฑาไทยมีการปรับปรุงโปรแกรมที่ประยุกต์ใช้ และผสมผสานจากต่างประเทศ ทำให้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นชัดเจนในนักวิ่งยุคปัจจุบัน ทางด้านกายภาพและพัฒนาการ ซึ่งเน้นคุณภาพมากขึ้น
“โปรแกรมก็ผสมผสานและรายละเอียดเยอะขึ้น เห็นพัฒนาการความเปลี่ยนแปลงชัดเจนเยอะขึ้น แต่ผมก็เป็นห่วงนะ อย่างเช่นช่วงที่ไม่มีแข่ง นักวิ่งจะต่อยอดยาก บวกกับเรื่องเงินสนับสนุน และเงินเดือน ถ้าช่วงที่ไม่มีแข่งขันก็จะขาดตรงนี้ไป”
อย่างไรก็ตามการปรากฏตัวของ "บิว" ภูริพล บุญสอน ก็ถือเป็นหนึ่งในความหวังที่ทำให้วงการวิ่งไทยได้ไปถึงระดับโลก อย่างโอลิมปิกปารีส 2024 ที่ผ่านมา
ซึ่งมิ้วมองว่าการได้ไปเก็บตัวในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา จะมีส่วนเสริมพัฒนาการของบิวได้ดีมาก พร้อมเล่าประสบการณ์ที่เคยไปเก็บตัวที่สหรัฐ ก่อนการแข่งขันชิงแชมป์เอเชียที่จีน ที่ทำให้มิ้วเองมีวินัยมากขึ้น ได้โฟกัสกับการแข่งขันที่จะมาถึง มีโอกาสได้แข่งขันทุกสัปดาห์ ได้สัมผัสบรรยากาศความเป็นมืออาชีพ ทุกอย่างมีระบบ มีตาราง และถือว่าครบวงจร
“เหมือนที่ผมเคยผ่านมา เรื่องของวินัยและการโฟกัส รุ่นพี่ก็เคยเตือนเรามาก่อนเหมือนกัน นักวิ่งต้องเตรียมตัวอยู่เสมอ บวกกับอายุก็มากขึ้น การวิ่งไม่มีอะไรตายตัว ตอนนี้เราพีก แต่พออายุมากขึ้น อาจจะวิ่งได้ 9 วินาทีจริง แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ เช่น อาการบาดเจ็บ ช่วงเวลาก่อนถึงอายุ 24 ต้องเสริมให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องความมั่นใจ“
และถ้าไม่มีการบาดเจ็บ มิ้วเชื่อมั่นว่า บิวจะมีโอกาสวิ่งต่ำกว่า 10 วินาทีแน่นอน และจะเป็นไม้ผลัดที่สี่ ที่เป็นคนสำคัญ เป็นตัวเปลี่ยนเกม และสร้างศรัทธาให้กับคนในทีมวิ่งผลัด 4×100 เมตรทีมชาติไทยได้อย่างแน่นอน
ซึ่งเป้าหมายนี้จะเกิดขึ้นได้หากมีประสบการณ์การแข่งขันที่มากขึ้น การได้ลงแข่งกับคนที่เก่งกว่า ซึ่งจะทำให้พัฒนาขึ้นได้จริง ไม่ใช่เฉพาะบิวเท่านั้นแต่ยังหมายถึงนักวิ่งทีมชาติไทยทุกคน และรุ่นน้องที่อาจจะพัฒนามาเพิ่มเติม
“เพราะนักวิ่งไทยในตอนนี้มีความสามารถที่ไม่แพ้ชาติอื่นในเอเชีย และมีโอกาสไปได้ไกลมากกว่านี้ เช่น การควอลิฟายไปโอลิมปิก เหมือนกับบิว และนักกีฬาในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและอิหร่าน ไทยตอนนี้อยู่ในระดับเอเชีย ผมว่า ยังไม่ถึงระดับโลก แต่ถ้าเราพีค เราติดหนึ่งในสามได้ทุกทัวร์นาเมนต์ในเอเชียแน่นอน ถ้าทุกคนพร้อม รวมถึงทีมผลัด ต้องมีไม้สองและไม้สี่เป็นหลัก“
มิ้วยืนยันว่า ผลงานที่ผ่านมาก็บอกแล้วว่า น้องในทีมยังมีโอกาสไปได้มากกว่านี้ ถือว่าวงการกรีฑาไทยยังมีอนาคตและเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ อยู่ที่โอกาสและพัฒนาการ จะเกิดขึ้นในเวลาที่สอดคล้องกัน
TAG ที่เกี่ยวข้อง