31 ตุลาคม 2567
เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ของวงการแบดมินตันไทย เมื่อเด็กหนุ่มวัย 24 ปีอย่าง ‘บอส’ ศรัณย์ แจ่มศรี’ เพชรเม็ดใหม่ที่กำลังถูกเจียระไนอย่างปราณีตและรอวันที่จะอวดโฉมต่อสายตาแฟนแบดมินตัน ด้วยผลงานส่วนตัวที่กล้าพูดได้ว่า “มีแวว” และแอบเห็นแสงแห่งความหวังอยู่รำไรในตัวของ ‘บอส’ แน่นอนว่าชื่ออาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักมักคุ้นแต่เชื่อเหลือเกินว่าเพชรเม็ดนี้จะส่องแสงแวววาวได้ในอนาคต
‘บอส’ ศรัณย์ คือผลิตผลจาก ‘บ้านทองหยอด’ โรงเรียนฝึกนักกีฬาแบดมินตันที่บ่มเพาะนักตบลูกขนไก่จนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยมานักต่อนัก ไล่เรียงตั้งแต่ ‘เมย์’ รัชนก อินทนนท์ กระทั่งมาถึง ‘วิว’ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ในอนาคตอันใกล้นี้ไม่แน่ว่า ‘บอส’ อาจดำเนินรอยตามสองนักแบดมินตันระดับโลก
StadiumTH จะนำท่านผู้อ่านไปรู้จักกับ ‘บอส’ ศรัณย์ ให้มากขึ้นเริ่มตั้งแต่โนเนมไปจนถึงเป้าหมายสูงสุดของการเป็นนักกีฬาทีมชาติ
ไม่ใช่เรื่องแปลกในหมู่เด็กชายที่มักใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการได้วิ่งเล่นและสนุกสนานไปกับการออกกำลังกาย ‘บอส’ ก็เป็นเช่นนั้น พื้นฐานที่เขามีคือความสนุกในทุกครั้งที่ได้ลงสนามทั้งบทบาทการเป็นผู้รักษาประตูในเกมฟุตบอล แม้กระทั่งดำผุดดำว่ายในสระน้ำ มันเป็นความสุขที่เด็ก ๆ ควรได้รับ
บอส เล่าว่า ตนเป็นเด็กที่มีความสนใจในทุกชนิดกีฬา แต่หากให้เลือกระหว่างกลางแจ้งหรือในร่ม แน่นอนเขาเลือกอย่างหลัง ไม่ใช่เพราะความสำอางแต่หากใครได้ลองสัมผัสเปลวแดดช่วงเที่ยงวันของเมืองไทยจะทราบดี นั่นเองทำให้เขาได้พบกับกีฬาชนิดใหม่และตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอ
“ตอนนั้นอายุประมาณ 9 ขวบ จำได้ว่าช่วงหนึ่งที่ผมได้ไปว่ายน้ำในสระของศูนย์กีฬาแห่งหนึ่ง บังเอิญได้เห็นพี่ ๆ เล่นแบดมินตันผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรมันรู้สึกอยากลองเล่นขึ้นมาทันที พอได้สัมผัสกลับกลายเป็นว่าผมชอบแบดมินตันมาก ๆ จึงไปปรึกษากับพ่อว่าจะขอลงเรียนแบดมินตันดูบ้างซึ่งทางครอบครัวก็สนับสนุน ซึ่งผมไม่ได้หวังถึงขั้นจะต้องเป็นนักกีฬาทีมชาติแต่พอผ่านไปช่วงหนึ่งมันมีความคิดที่ว่าผมต้องจริงจังกับมันและติดทีมชาติไทยให้ได้”
จากเด็ก 9 ขวบสู่เด็กหนุ่มวัย 11 ปี บอสใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับแบดมินตันจนสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน กระทั่งเขาได้มีโอกาสประเดิมสนามครั้งแรก แม้ผลที่ออกมาจะไม่เป็นที่พอใจนักแต่สำหรับบอสแล้วมันคือประสบการณ์สุดแสนวิเศษที่จะต่อยอดสู่ความสำเร็จในอนาคต
จากประสบการณ์การเดินสายแข่งขันในรายการต่าง ๆ ภายในประเทศทำให้ ‘บอส’ สามารถทำคะแนนสะสมจนก้าวขึ้นมาติดทีมชาติไทยชุดเยาวชนได้สำเร็จในช่วงขวบวัยได้ 14 ปีบริบูรณ์ ด้วยจุดเริ่มต้นนี้เองที่เปลี่ยนความคิดของบอสไปโดยสิ้นเชิง จากเด็กที่หวังเพียงได้เล่น ได้ลอง กลายเป็นภาพฝันของการเป็นนักกีฬาทีมชาติชุดใหญ่ทันที
“ผมเพิ่มระดับความจริงจังมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งระหว่างทางที่ผมก้าวมาถึงจุดนี้ผมเชื่อเสมอว่าจะต้องทำให้ได้ เพราะโดยปกติแล้วผมชอบดูหรือเสพเรื่องราวของคนที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิต เพลงที่ฟังก็จะเป็นเรื่องราวของการให้กำลังใจ การเดินตามความฝัน โดยเฉพาะเพลงของ ‘บอดี้สแลม’ ไม่ว่าจะเป็นเพลง ‘ความเชื่อ’ หรือ ‘แสงสุดท้าย’ เหล่านี้มันจึงทำให้ผมมีมายด์เซ็ตไปในเชิงบวกมาก ๆ”
บอสอธิบายเพิ่มเติมว่า ทัศนคติที่ดีย่อมส่งผลต่อการกระทำในหลายด้าน ทั้งความคิด การใช้ชีวิตหรือแม้แต่การลงสนามแข่งขัน จากที่เคยวาดหวังไว้เพียงการได้ลงแข่งขัน ครั้งนี้กลับเปลี่ยนเป็นฝันไกลถึงการติดทีมชาติและบอสเชื่อว่าโอกาสเดียวที่จะช่วยให้ฝันนั้นเป็นจริงคือการเข้าร่วมฝึกกับโรงเรียนบ้านทองหยอด แหล่งบ่มเพาะนักแบดมินตันระดับประเทศในวัย 16 ปีเต็ม
“บ้านทองหยอดเปลี่ยนผมให้กลายเป็นคนที่มีระเบียบมากขึ้น รวมทั้งการมีวินัย ความเป็นนักกีฬาอาชีพมีมากขึ้นถามว่ามันเหมือนการถูกตีกรอบมากเกินไปมั้ย ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นว่าทำไมถึงต้องซ้อมหนักขนาดนี้ ต้องอยู่ในระเบียบอย่างเคร่งครัด นั่นอาจจะเป็นความคิดของผมตอนเด็ก แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวผมเอง”
บอสยังบอกด้วยว่า บ้านทองหยอดสามารถสานต่อความฝันของเขาเองให้เป็นจริงขึ้นมาได้และพร้อมจะมอบโอกาสนี้ให้กับทุกคนที่มีเจตจำนงเดียวกัน “ผมต้องการอะไร อยากได้สิ่งไหน ที่นี่ตอบโจทย์ผมในทุก ๆ ด้าน และยังเป็นที่ที่ให้โอกาสสำหรับทุกคนที่มีความฝันและความตั้งใจ” บอสเสริม
ภายหลังจากที่ชุบตัวอยู่ในโรงเรียนบ้านทองหยอดนานนับปี บอสได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น รวมถึงระเบียบวินัยที่ได้รับการถ่ายทอดจากโค้ชและนักกีฬาที่เป็นต้นแบบอย่าง ‘เมย์-รัชนก’ ทำให้บอสก้าวจากการเป็นนักกีฬาเยาวชนสู่การเป็นนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทยชุดใหญ่ได้สำเร็จ
ผลงานในระดับทีมชาติชุดใหญ่ของ ‘บอส’ แม้จะไม่ดังเปรี้ยงปร้างจนกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ก็ปฏิเสธฝีไม้ลายมือของหนุ่มวัย 24 ปีคนนี้ไม่ได้ ที่โดดเด่นที่สุดคคือการคว้าเหรียญทองแดงประเภททีมในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ที่ประเทศกัมพูชา จนกลายมาเป็นนักกีฬาที่น่าจับตามากที่สุดคนหนึ่งในเวลานี้
ทว่าระหว่างทาง บอสพานพบกับอุปสรรคและความท้าทายที่สาหัสสากรรจ์ไม่เบา เขาเล่าว่าหนักหนาถึงขั้นมีความคิดที่จะล้มเลิกความฝันของตนเองโดยสิ้นเชิง
“ถ้าถามว่าดีใจมั้ยกับการได้ติดทีมชาติชุดใหญ่ ผมขอตีความคำถามนี้แบบนี้ว่า การติดทีมชาติในมุมของผมมันคือการปลดล็อกชีวิตตัวเอง เพราะก่อนหน้านี้ผมเคยมีชื่อในการคัดตัวทีมชาติมาแล้วหนึ่งครั้ง แต่รอบสุดท้ายรอบตัดสินผมแพ้ทำให้ผมเสียใจมากเพราะมันคือความหวังหนึ่งเดียวของผมที่จะติดทีมชาติ มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเฟลกับตัวเองมาก ๆ คล้ายแผลที่ติดอยู่ในใจมาตลอด”
บอสเสริมว่า เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะเขาเองต้องเสียเวลาไปกับช่วงโควิด 2-3 ปี ไม่มีรายการแข่งขัน ความจำเจซ้ำซากเริ่มเกาะกินความหวังจนท้ายที่สุดมันเกือบจะทำให้บอสหันหลังให้กับแบดมินตัน
“ในความโชคร้ายนั้นยังมีความโชคดีที่โค้ชของผมในช่วงนั้นได้เข้ามาพูดคุยและให้คำแนะนำจนนำมาสู่การได้เข้าคัดเลือกทีมชาติในครั้งที่สอง คำพูดของโค้ชในวันนั้นช่วยให้ผมลุกขึ้นเดินหน้าต่ออีกครั้ง ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้เดินคนเดียว ยังมีโค้ชที่พร้อมผลักดันผมอยู่เสมอ ผมได้เจอกับโค้ชคนนั้น คนที่สนับสนุนผมตลอดมาถ้าไม่ใช่เขาผมอาจเดินมาไม่ถึงจุดนี้ก็ได้ ผมเลยวางแผนกับโค้ชว่าจะต้องลุยรายการในประเทศเพื่อเก็บคะแนนสะสมเพราะเรารู้อยู่แล้วว่าจะมีการคัดตัวนักกีฬาเพื่อไปแข่งขันซีเกมส์ที่กัมพูชา”
ในท้ายที่สุดบอสก็ทำได้สำเร็จ อย่างที่เขาได้บอกไว้คำว่า “ปลดล็อกชีวิต” มันมีความหมายมากกว่าการติดทีมชาติไทย
ปัจจุบัน ‘บอส’ เริ่มออกทำการแข่งขันในรายการเวิลด์ทัวร์มากขึ้น เขาพร้อมเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ได้รับเพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดให้ดีขึ้นและเมื่อสั่งสมได้มากพอ ‘บอส-ศรัณย์ แจ่มศรี’ จะก้าวมาเป็นนักแบดมินตันเบอร์ต้น ๆ ของไทยได้อย่างภาคภูมิ
TAG ที่เกี่ยวข้อง