21 ตุลาคม 2567
อะไรก็เกิดขึ้นได้บนเส้นทางมาราธอน เป็นคำคุ้นเคยของนักวิ่งทั่วโลกทุกคน ไม่ว่าจะเก่งหรือผ่านประสบการณ์มามากแค่ไหน มาราธอนก็คือความท้าทายเสมอ และกับ"บิ๊ก" ณัฐวุฒิ อินนุ่ม นักวิ่งผู้มากประสบการณ์ ขวัญใจนักวิ่งไทย มาราธอนก็เป็นความท้าทายสูงสุดเช่นกัน ซึ่งบิ๊ก กำลังต่อสู้เพื่อเป้าหมายสูงสุดในการวิ่งมาราธอนของตัวเอง
สำหรับนักวิ่งอาชีพและนักวิ่งทีมชาติไทยทุกคน ซีเกมส์ 2025 ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพ เป็นเป้าหมายที่ทุกคนตั้งเอาไว้ หวังว่าได้ติดทีมชาติในรายการนี้ ในมหกรรมกีฬานานาชาติที่สำคัญและได้จัดขึ้นในประเทศไทย บิ๊กเองก็มีเป้าหมายเดียวกัน
“ที่มาที่ไปที่ผมมาวิ่งมาราธอน ก็คือซีเกมส์ครั้งหน้าที่จะจัดที่ไทย ผมอยากลงมาราธอน เพราะทราบดีว่าโอกาสของ 5,000 เมตร และ 10,000 เมตร การจะได้เหรียญมันยาก เพราะสถิติ และการมีคีริน (คีริน ตันติเวทย์) อยู่แล้ว และตัวผมมีความหวังอยากได้เหรียญในซีเกมส์ บวกกับผมชอบการแข่งถนนมากกว่าอยู่แล้ว อีกอย่างก็คือไทยไม่มีเหรียญในมาราธอนมานาน ผมก็อยากลองดูว่าเราจะทำได้ไหม”
บิ๊กกล่าวถึงเป้าหมายของตัวเอง พร้อมกับบอกว่าความท้าทายครั้งนี้ยังมีหลายองค์ประกอบที่ต้องเผชิญ ทั้งเรื่องของนักวิ่งมาราธอนทีมชาติไทยเดิม คือ โทนี่ เพย์น และสัญชัย นามเขต ซึ่งทั้งสองคนก็มีสถิติที่ดี และอีกองค์ประกอบหนึ่ง คือ การลงแข่งในรายการก่อนหน้า เพื่อนำสถิติมาควอลิฟาย สำหรับซีเกมส์
“บางแสน 42 คือสนามที่ใกล้ที่สุด แต่ยังไม่ใช่การควอลิฟาย เพราะผมร้างสนามมาราธอนมาประมาณหนึ่งปี แต่จะเอาบางแสน 42 มาลองก่อนว่าจะวิ่งได้แบบไหน ซึ่งตอนแรกผมตั้งใจจะไปบุรีรัมย์มาราธอน กับโตเกียวมาราธอน แต่โตเกียวล็อตโตไม่ได้ ปีหน้าก็จะต้องหาสนามมาราธอนอีกหนึ่งสนาม เพื่อให้ผู้ใหญ่เห็นว่าเวลาผมดีพอหรือไม่”
บิ๊กนั้นถือว่าเป็นนักวิ่ง ที่มีการวางระบบและวางเป้าหมาย รวมถึงวางแผนการแข่งขันของตัวเองไว้เป็นสเต็ปชัดเจน บางแสน 42 ก็เช่นกัน บิ๊กวางเป้าหมายไว้สามอย่าง “เป้าหมายแรกของผมคือต้องไม่ดีเอ็นเอฟ (การวิ่งไม่จบ) เป้าหมายที่สอง คือการทำสถิติใหม่ของตัวเอง และเป้าหมายที่สาม ถ้าวันนั้นร่างกายดี ก็อยากทำสถิติคนไทยของสนามนี้ ก็วางเป้าใหญ่ไว้ก่อน แต่มีเป้าเป็นสเต็ป”
บิ๊กบอกว่า เขาทราบดีว่าทุกคนก็อยากทีมชาติในการแข่งขันซีเกมส์ครั้งนี้เหมือนกันเพราะเป็นการแข่งขันที่ประเทศไทย ส่วนตัวบิ๊กเองก็ยังมีแพสชั่นกับการวิ่งไม่แตกต่างจากเดิม แต่ปัจจัยอื่นเพิ่มขึ้น เพราะต้องโฟกัสหลายอย่าง ตามช่วงวัยที่โตขึ้น ความรับผิดชอบก็มากขึ้น และแม้ว่าจะผ่านการแข่งขันรายการวิ่งใหญ่มาแล้วมากมาย แต่ความท้าทายในมาราธอนก็แตกต่างออกไป
“อย่างมาราธอนแรก ผมเหนื่อยมาก ต่างจากการวิ่ง 21 แบบสิ้นเชิง เพราะ 21 ผมก็วิ่งบ่อย พอเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว มันไกลมากและทรมานจิตใจ ตอนแข่งมันก็ไปได้ แต่ตอนซ้อมมันทรมานมาก และใช้เวลาเยอะมากเป็นเท่าตัว คนจบมาราธอนได้ผมบอกเลยว่าสุดยอดทุกคน เพราะอะไรมันก็เกิดขึ้นได้จริงๆ มีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมาก วางแผนก็ต้องดี”
บิ๊กเล่าว่าหลังจากวิ่งจบมาราธอนแรก สิ่งที่เขารู้สึกคือ เค้ายังคงมีความเร็ว แต่ขาดความอดทน แม้จะซ้อมมาเยอะก็ยังหมดแรงในกิโลที่ 30 โดยในหัวของตัวเองระหว่างวิ่ง มีเพซที่ตั้งใจเอาไว้ แต่คุมไม่ได้จนจบ ทำให้รู้สึกผิดหวังในส่วนนั้น แต่ได้เรียนรู้ในเรื่องความเร็วความอดทนของตัวเองและกลับไปซ้อมให้มากขึ้น
ช่วงระหว่างนี้ บิ๊กยังรอการสนับสนุนเรื่องสิทธิ์การแข่งขันโตเกียวมาราธอน เบื้องต้นมีผู้สนับสนุนเรื่องสิทธิ์เข้าแข่งค่อนข้างแน่นอนแล้ว แต่จะต้องดูแลค่าใช้จ่ายของตัวเองเรื่องการเดินทาง ซึ่งเป้าหมายคือต้องการทำเวลาสำหรับมาราธอนที่ในสนามต่างประเทศจะมีโอกาสทำสถิติได้ดีกว่า แล้วจะเพิ่มโอกาสให้บิ๊กในการเป็นตัวแทนทีมชาติไทยอีกครั้งในซีเกมส์ 2025
ขณะที่เส้นทางการวิ่งของบิ๊ก ณัฐวุฒิ นอกเหนือจากการวิ่งมาราธอน ยังคงอยู่บนเส้นทางการแข่งขันวิ่งถนน และยังคงได้เห็นผลงานทางถนนของบิ๊กอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบิ๊กบอกว่าการแข่งวิ่งในลู่ หากยังมีโอกาสก็ยังอยากแข่งต่อไป โดยการเปลี่ยนแปลงเรื่องงานทำให้บิ๊กไม่ได้ลงแข่งขันกีฬาแห่งชาติ 2024 แต่บิ๊กก็มองว่า กีฬาแห่งชาติปีนี้จะได้เห็นเกมที่เปลี่ยนแปลงไป และมีนักวิ่งรุ่นใหม่ขึ้นมาแข่งขันและแสดงผลงาน
“เป้าหมายของผมยังเป็นมาราธอนเป็นหลักก่อน ซึ่งบางแสน 42 ก็สนามโหดมาก ผมก็ต้องเต็มที่กับมัน แม้จะไม่ได้ซ้อมที่ชลบุรีแล้ว เพราะต้องย้ายมาทำงานที่อยุธยา แต่ก็ต้องโฟกัสให้ได้มากที่สุด การแข่งทางถนนหลังจากนี้ อาจจะเป็นการวิ่ง 21 กิโลเมตรเป็นส่วนใหญ่ ส่วนกีฬาแห่งชาติปีนี้ผมไม่ได้แข่ง ก็จะเป็นเด็กใหม่ได้มีโอกาสขึ้นมาบ้าง แล้วก็น่าจะได้เห็นเกมที่สนุกมากขึ้น”
ในฐานะรุ่นพี่ทางไกลทีมชาติไทย บิ๊กมองเห็นศักยภาพของนักวิ่งรุ่นใหม่ในปัจจุบัน และฝากถึงทุกคนเรื่องของการตั้งเป้าหมายบนเส้นทางสายนี้ “ฝากถึงนักวิ่งรุ่นใหม่ ผมอยากให้ใจเย็น ถ้าเป็นไปได้อยากให้เก็บตัวให้ดี ซ้อมให้ดี วางแผนการแข่งแต่ละเรซให้ดี ขยัน มีวินัย หาความรู้เยอะๆ จากแหล่งต่างๆ ขอให้ทำในตอนที่ยังมีโอกาสทำได้ จะได้ไม่เสียใจทีหลัง“
ในขณะเดียวกันการได้รับโอกาสไปเก็บตัวในต่างประเทศก็มีความสำคัญ บิ๊กบอกว่าหากนักวิ่งรุ่นใหม่ได้ไปเก็บตัว เช่น ในประเทศจีน จะได้หาประสบการณ์ซึ่งหาไม่ได้จากที่ไทย ได้เรียนรู้หลายอย่าง
“ผมก็เอาใจช่วยทุกคนนะ ไม่เคยกลัวน้องแซง และยินดีมากๆ ผมอยากให้นักวิ่งไทยพัฒนา โดยเฉพาะคนไทยแท้ อยากให้มีการผลักดันเด็กไทยจริงๆ ไม่ใช่เฉพาะลูกครึ่ง ไม่อยากให้นักวิ่งไทยแท้หายไป ต้องผลักดันคู่กัน เพราะทุกคนก็พยามเหมือนกัน”
อย่างไรก็ตามบางแสน 42 มหกรรมการวิ่งมาราธอนรายการใหญ่ที่สุดรายการหนึ่งของประเทศไทยจะลงสนามกันในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2567 นับเป็นท้าทายครั้งสำคัญบนเส้นทาง 42.159 กิโลเมตรของ "บิ๊ก" ณัฐวุฒิ อินนุ่ม เพื่อพิสูจน์ตัวเองในการกลับมาติดทีมชาติไทยอีกครั้ง “จะพยายามทำอย่างเต็มที่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ และขอให้เป็นกำลังใจให้กับผม และนักวิ่งไทยทุกคน”
TAG ที่เกี่ยวข้อง