11 มิถุนายน 2567
ไม่ใช่แค่เพียงทรงผมที่เป็นเอกลักษณ์ บุคลิกท่าทางที่แตกต่าง ความมุ่งมั่นพร้อมกับรอยยิ้ม ทำให้หลายคนอยากรู้จักกับเจ๊มุก หรือฉายาเจ๊มุก ซักรีด กะเทยผู้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของ LGBTQ ในวงการวิ่ง
หลังจากเข้าสู่วงการวิ่ง จากวันแรกจนถึงวันนี้ ผ่านมาเจ็ดปี โลกใบนี้เปลี่ยนหลายอย่างในชีวิตของเจ๊มุก ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก และความสุขที่เกิดขึ้นภายในใจ นี่คือเรื่องราวของเจ๊มุก นายสวัสดิ์ กัญญา ผู้เป็นเสมือนไอคอนนิก ของกะเทยไทยในวงการวิ่ง
จากการเต้นแอโรบิกสู่สวนสันติภาพ
ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น เจ๊มุกเล่าว่าสมัยก่อนจะใช้เวลาเวลาว่างไปกับการเต้นแอโรบิก และยังเคยเข้าใจว่างานวิ่ง คือกิจกรรมเฉพาะนักกีฬาเท่านั้น ซึ่งในตอนนั้นเธอต้องการลดความอ้วน จึงมุ่งมั่นกับการเล่นกีฬา
“คือตอนนั้นตั้งใจลด แต่ว่าเต้นแอโรบิก เพราะคิดว่าเหมาะกับกะเทยที่สุด เราเคยเข้าใจว่างานวิ่ง คือนักกีฬาเท่านั้น ตอนนั้นก็ลดน้ำหนักได้จาก 74 เหลือ 65 ภายในสองเดือน แต่ร่างกายไม่เฟิร์ม เหมือนลูกโป่งเหี่ยว เลยเสริมด้วยการเวท แล้วก็มาเริ่มวิ่งจาก 2 ถึง 3 กิโลเมตร เพื่อให้เหงื่อออก”
ในตอนนั้นเจ๊มุกเริ่มวิ่งเพื่อสุขภาพ ที่สวนสันติภาพ และเจอเพื่อนพี่น้องกะเทยด้วยกันที่สนใจนักกีฬาชนิดนี้ ชวนให้เธอจริงจังกับการวิ่งมากขึ้น ด้วยการสมัครงานวิ่งถนน บวกกับลูกค้าของร้านซักรีด พอรู้ว่าเจ๊หันมาวิ่งก็ชวนและไปวิ่งเป็นเพื่อน
“ตอนนั้นก็สนุกเฉยๆ ตามประสา รองเท้าคู่แรกคือเก็บของที่เขาทิ้งมาใส่จนสึก แล้วยังใส่รองเท้ามือสองราคา 120 บาท จนเพื่อนชวนไปซื้อรองเท้าให้ใหม่ แต่เราไม่เอา ก็ยังคงวิ่งในแบบของเรา จนสมัครงานวิ่งแรกซูเปอร์สปอร์ต 10 ไมล์ ตอนนั้นก็ตื่นเต้นนะ เห็นคนใส่กางเกงรัด เสื้อฟิต เอวลอย เราก็ยิ่งชอบเห็นแล้วสวยงาม“
จริงจังมากขึ้นเพื่อสุขภาพ
จากวันนั้นถึงวันนี้ เจ๊ยังออกไปวิ่งทุกวันหลังเสร็จงานซักรีด พร้อมกับซ้อมอย่างเป็นระบบมากขึ้นเพราะอยากพัฒนา “พอเริ่มวิ่งงานระยะต่างๆ เราก็อยากพัฒนา แล้วพอมีคนเห็นเราวิ่ง เราดูจดจ่อตั้งใจ หลายคนอาจจะคิดว่าเรามุ่งมั่นเพื่อแข่งขัน แต่ที่จริงเราแค่ทุ่มเทเพราะเป็นคนจริงจัง อยากแข็งแรง อยากมีท่าวิ่งที่ดีขึ้น อยากเข้าเส้นชัยแบบดูไม่เหนื่อย”
สิ่งที่ได้รับกลับมาคือสุขภาพและบุคลิกที่ดูอ่อนกว่าวัย ปัจจุบันเจ๊อายุ 59 ปีแล้ว แต่ยังดูเหมือนคนอายุยังไม่ถึง 50 “เราไม่เคยเจ็บป่วยเป็นโรคอะไร สนุกกับการซ้อมมากขึ้นทุกวันทุกวันค่ะ หลังจากวิ่งจริงจัง คืออาชีพเราคือรับจ้าง จะวิ่งวันธรรมดา เพราะเสาร์-อาทิตย์จะยุ่งเรื่องการซักรีด ก็เลยไม่ค่อยแข่งขัน เพราะแค่มาซ้อมก็สนุกแล้ว ที่สำคัญคือตอนทุกคนรู้อายุเราก็จะตกใจ หลายคนก็บอกว่าไม่เหมือนคนอายุใกล้ 60“
จากคนที่เคยใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับการดูละคร เมื่อจริงจังกับการวิ่งแล้วเกิดความสนุกเจ๊มุกก็เลิกดูละครไปเลย และหันมาออกกำลังกาย จากการหักโหมเพื่อลดความอ้วนในตอนนั้น จนร่างกายดูไม่สดใส เมื่อหันมาวิ่งก็เฟิร์มขึ้น จนหลายคนยอมรับว่าดูเด็กกว่าอายุจริง เรื่องนี้เจ๊มุกบอกว่า มาจากนิสัยความเป็นกะเทยที่ตั้งใจและมีความมุ่งมั่นมาก
มีชื่อเสียงมากขึ้นในวงการวิ่ง
เพราะเอกลักษณ์ความสดใสและความแตกต่าง สื่อเริ่มรู้จักและสัมภาษณ์เผยแพร่เรื่องราวของเจ๊มุกในหลากหลายมุม ที่สำคัญที่สุดคือความมุ่งมั่นในฐานะนักวิ่ง กลายเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สร้างแรงผลักดันให้เธอโลดแล่นในวงการนี้
“คือสปอนเซอร์แรกก็มาจากช่างภาพที่มาขอสัมภาษณ์ค่ะ เค้าไม่ได้สร้างภาพลักษณ์ให้เราดูน่าสงสาร ฉันแค่แฮปปี้สะดวกที่จะวิ่ง ฉันกลายเป็นแรงบันดาลใจ และให้พลังกับคนอื่น จนมีแบรนด์เข้ามาสนับสนุน ซึ่งเกิดจากการวิ่งอย่างมีความสุขของเรา” เจ๊มุกเล่าว่าเธอเองก็เปลี่ยนไปมากหลังจากเข้าวงการนี้ จากกะเทยที่มั่นใจและไม่แคร์โลก เมื่อมีคนรู้จักมากขึ้น มีคนมาสนับสนุน เธอก็ขัดเกลาตัวเอง มีวุฒิภาวะ และสง่างามมากขึ้นในฐานะนักกีฬา
“เจ๊ก็รู้สึกว่าอยาก promote ของให้เขาแบบสมศักดิ์ศรี แบรนด์ที่เข้ามาก็เป็นเหมือนกระดาษทรายที่ขัดเกลาให้เราสวยขึ้น ตอนนี้ก็มี Brooks ที่ดูแลเรามาตลอด“ นอกจากนั้นยังมีโอกาสได้รู้จักกับผู้คนมากมายหลายวงการ รวมถึงรุ่นน้องกะเทยที่ได้มารวมกลุ่มกัน แม้ในตอนนี้จะไม่ได้พบเจอกันบ่อยแต่ก็ยังช่วยเหลือกันเสมอ
“ก่อนหน้าเจ๊ก็อาจจะมีแอลจีบีทีคิวคนอื่น ในวงการวิ่งมาก่อนเรา แต่เราก็ถือว่าอยู่ได้นาน เพราะความชอบ และรู้สึกว่าการวิ่งสะดวก ทำคนเดียวได้ ต่างจากกีฬาอื่น ถึงจะไปคนเดียวก็จะเจอกันที่สนามเอง สังคมวิ่งเป็นสังคมที่ดี ได้เจอกันทุกวันก็เป็นแรงบันดาลใจให้กัน และเป็นกีฬาที่ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรมากมาย”
เมื่อการวิ่งพาให้เรารักสุขภาพไปด้วยกัน
ช่วงหนึ่งของการวิ่ง เจ๊มุกเจอกับการระบาดของ โควิด-19 ธุรกิจทุกอย่างซบเซา บ้านเมืองมีแต่ความหดหู่ เหมือนกับชีวิตพัง ณเวลานั้นความสุขของเธอ คือการได้ออกไปวิ่ง ให้เหงื่อออก “ช่วงโควิดชีวิตพังมาก พังหมด เราก็แค่รอเลิกงานแล้วไปวิ่งคนเดียว ก่อนวิ่งชีวิตหดหู่ เหมือนไร้ทางออก พอไปวิ่งเหงื่อออกก็มีความสุข เราเลยรักนาง รักการวิ่ง รู้สึกว่าวิกฤตที่ทับถมก็ยังมีจุดที่ผ่อนคลาย”
ปัจจุบันเจ๊มุกวัย 59 ปี มุ่งมั่นกับการดูแลสุขภาพอย่างดี เป็นหนึ่งสิ่งที่วางแผนชีวิตไว้หลังการเกษียณ เพื่อถนอมให้ร่างกายอยู่กับเธอได้นานที่สุด “เวลาไปวิ่ง ได้มองเห็น ได้ไปเจอคนที่เกษียณแล้ว เค้ามีเวลากับตัวเองมากขึ้น มีความสุข ดูหนุ่ม สดใส ก็ทำให้เราคิดวางแผนว่าเกษียณแล้ว กะเทยตัวคนเดียวจะทำยังไง“
จุดนั้นทำให้เจ๊มุกคิดได้ว่า สมบัติที่เราติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็มีแค่ร่างกาย ก็ต้องบำรุงถนอมให้อยู่กับเรานานที่สุด "ต้องทั้งแข็งแรง ทั้งร่างกายและจิตใจ มีความสุข สุขภาพดีทั้งกายใจ ออกไปวิ่งแล้วเจอพลังบวก ให้เอามาใช้กับชีวิตตัวเองได้ เจ๊ไม่เคยวางแผนเรื่องการวิ่ง แค่เต็มที่กับทุกวัน เลยไม่เคยเบื่อ"
"ในตอนนี้ทุกครั้งที่ออกไปวิ่ง ก็ทำให้เจ๊มุกได้รู้จักคนเพิ่มมากขึ้น หลายคนเข้ามาทักทายและกลายเป็นเพื่อนกัน เรื่องนี้มันไม่มีเพศมีวัย เคยเจอคนบนรถไฟฟ้าเด็กวัยรุ่นยังมาทักทายว่ารู้จักเรา“
เจ๊มุกบอกด้วยว่า การวิ่งทำให้เราเชื่อมโยงกัน ไม่มีกำแพง และเปิดใจ “ทุกวันนี้มีเพื่อนเป็นตำรวจ ทหาร นักศึกษา ทุกวงการ การวิ่งนำพาเรามาเจอกัน มันคือความสุขความบริสุทธิ์ เป็นเรื่องดีที่มีความสุขมาก ประโยชน์ของมันมีเยอะ ส่วนเรื่องสุขภาพก็ตามวัย เราแข็งแรงได้จริง กีฬาทุกประเภทเป้าหมายคือการบำรุงร่างกายเพื่อให้ใช้งานได้นานที่สุด”
TAG ที่เกี่ยวข้อง