stadium

5 Rising Star

19 ธันวาคม 2562

ในเวทีฟุตบอลโอลิมปิกนั้น เป็นหนึ่งในเวทีแจ้งกิดห้กับนักเตะหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็น คาลอส เตเบซ เนย์มาร์ , ซามูเอล เอโต้ , เอนวานโก้ คานู หรือแม้กระทั้งอดีตยอดนักเตะชาวญี่ปุ่นอย่าง “ฮิเดะ” ฮิเดโตชิ นากาตะ เองก็เคยผ่านสังเวียนฟุตบอลโอลิมปิกมาแล้วทั้งสิ้น

 

แต่ถึงกระนั้นในปัจจุบันความสำคัญของถ้วยใบนี้อาจไม่เหมือนกับรายการอื่นใดในโลก เพราะฟุตบอลโอลิมปิกนั้น ถือแค่เป็นเพียงหนึ่งจากในหลายชนิดกีฬา จึงอาจทำให้แต่ละชาติไม่ได้ส่งนักเตะตัวท๊อปมามากนักอีกทั้งรายการนี้ยังกฏต้องส่งนักเตะอายุไม่เกิน 23 ปีเข้าแข่งขัน (เฉพาะฟุตบอลชาย) และมีโควต้าเกินอายุได้เพียงแค่ 3 คน นั้นยิ่งทำให้แต่ละชาติไม่ได้โฟกัสกับฟุตบอลรายการนี้มากนัก

 

แต่ในโอลิมปิกปีหน้า ญี่ปุ่นผู้ซึ่งจะได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิก ได้มียอดนักเตะดาวรุ่งหลายคน ซึ่งทั้งสิ้นล้วนแล้วแต่เป็นนักเตะชื่อดังตั้งแต่ยังเด็กและที่สำคัญพวกเขาพร้อมแล้วที่จะเขย่าเวทีโลกโดยเริ่มจากฟุตบอลโอลิมปิกที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพก่อน

 

Takefusa Kubo  - ทาเคฟุสะ คุโบะ

 

ย้อนกลับไป 7-8 ปีที่แล้ว หลายๆคนที่เป็นแฟนฟุตบอลตัวยงคงเคยได้ยินข่าวว่ามีเด็กน้อยชาวญี่ปุ่นคนนึงที่ใส่ชุดฟอร์มสี เลือดหมูของบาร์เซโลน่าและยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ ชื่อของเด็กน้อยคนนี้คือ “ทาเคฟุสะ คุโบะ”   

 

คุโบะเองได้มีโอกาสเซ็นสัญญาเข้าร่วมศูนย์ฝึกฟุตบอล “ลามาเซีย” อะคาเดมี่ฟุตบอลชื่อดังของบาร์เซโลน่า ทำให้คุโบะ  กลายเป็นนักฟุตบอลญี่ปุ่นคนแรกของศูนย์ฝึกแห่งนี้

และด้วยผลงานในปีแรกกับทีมรุ่นอายุไม่เกิน 11-12 ปี การทำสถิติซัด 74 ประตูจาก 30 นัด ในฤดูกาลแรกที่ได้โอกาสลง สนามเต็มตัว พร้อมด้วยสไตล์การเล่นที่ถนัดเท้าซ้าย เลี้ยงบอลอย่าคล่องแคล่วว่องไว การยิงบอลที่เฉียบคม รวมถึง ทัศนคติการเล่นที่ดูโตเกินวัย ทำให้สื่อหลายสำนักจับตามองและยกย่องให้เจ้าตัวเป็น “เมสซี่ ญี่ปุ่น”

แต่ฝันของเจ้าตัวในการจะเล่นชุดใหญ่ของทีมบาร์เซโลน่าก็หมดลง หลังจากที่คุโบะอยู่ที่สเปนถึง 4 ปี (ช่วงปี2011 – 2015)

 

แต่ในขณะนั้นเองยอดทีมจากแคว้นคาตาลันก็ถูกสืบพบโดยฟีฟ่าว่า สโมสรทำผิดกฎการซื้อขายนักเตะต่างชาติและนักเตะ  อายุน้อยกว่า 18 ปี เข้าทีมนับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา โดย 1 ใน 9 รายมีชื่อของ “เมสซี่ ญี่ปุ่น” รวมอยู่ด้วย  ทำให้มีคำสั่ง ลงโทษแบนการซื้อนักเตะของบาร์ซาตลอดฤดูกาล 2014-2015

 

จากโทษดังกล่าวมีผลให้คุโบะ ถูกห้ามลงเล่นในเกมอย่างเป็นทางการของทีมเป็นระยะเวลา 1 ปี ทำให้เจ้าตัวตัดสินใจ กลับมาที่ญี่ปุ่น และเป็นทีมดังแห่งเมืองหลวงของญี่ปุ่นอย่าง “เอฟซี โตเกียว” ที่จัดการดึงเข้าสู่ทีมเมื่อเดือนมีนาคมของปี  2015  และหลังจากนั้นเจ้าตัวก็เริ่มเดินหน้าสร้างสถิติใหม่ๆโดยการเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดของญี่ปุ่นด้วยวัย 15 ปี 5  เดือน รวมถึงกลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในลีกสูงสุดได้อีกด้วย 

 

และล่าสุดในฤดูกาลที่ผ่านมากับ เอฟซี โตเกียว หลังจากเจ้าตัวลงเล่นไป 16 นัด ทำไป 5 ประตู 4 แอสซิสต์ ที่สำคัญทำให้  เจ้าตัวมีชื่อทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่ ในชุดลุยศึกโคปา อเมริกา 2019 อีกด้วย  ด้วยผลงานดังกล่าวนี้ทำให้เจ้าตัวเป็นที่ต้องตา ต้องใจของ “ราชัน ชุดขาว” เรอัล มาหริด และก็เป็นยอดทีมจากเมืองมาหริด จัดการคว้าตัวเจ้าตัวไปครองได้ในที่สุด ก่อน   ส่งยืมให้ต่อกับทีมในลีกลาลีกาด้วยกันอย่าง “มายอร์ก้า” ไปเก็บเลเวล ซึ่ง“เมสซี่ญี่ปุ่น” ผู้นี้ก็ไม่ได้ทำให้แฟนบอลผิดหวังหลังลงเล่นไปแล้วทั้งสิ้น 13 นัด จัดการซัดไป 1 ประตู กับอีก 2 แอสซิสต์แล้วด้วย

 

และด้วยในปีหน้าในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นั้น เชื่อเหลือเกินว่าหากไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆญี่ปุ่นจะจัดการดึง “คุโบะ” กลับมาเป็นตัวแทนทีมซามูไรบลูของเขาเป็นแน่แท้  ถึงแม้เจ้าตัวจะมีอายุเพียงแค่ 19 ปีเท่านั้นในปี 2020 แต่คงไม่มีใครปฏิเสธฝีมือของเจ้าตัวดังคำกล่าวที่ว่า “หากคุณเก่งพอ คุณก็แก่พอ”

 

Ritsu Doan - ริทสึ โดอัน

 

หลังจากญี่ปุ่นหมดยุคของ ฮิเดโตชิ นากาตะไปแล้ว ก็มีชื่อของ เคสึเกะ ฮอนดะ และ ชินจิ คากาวะ ก้าวเขามา แต่ ณ ปัจจุบัน ทั้ง 2 คน แถบจะถือได้ว่าอยู่ในช่วงบั้นปลายของการค้าแข้งแล้ว เนื่องจากอายุที่มากขึ้น รวมถึงการที่ญี่ปุ่นเองก็มี    นักเตะเลือดใหม่ที่ก้าวขึ้นมา พร้อมทรอดแทรกในทีมชาติแทบทุกวัน และหนึ่งในดาวรุ่งคนใหม่แห่งวงการญี่ปุ่นคนนี้มีชื่อ ว่า “ริทสึ โดอัน”

 

ริทสึ โดอัน ถือเป็นหนึ่งผลผลิตแห่งความภาคภูมิใจของยอดทีมอย่าง “กัมบะ โอซาก้า” ด้วยสไตล์การเล่นในแบบฉบับที่นัก เตะตัวรุกทุกคนควรมีคือ เทคนิคความคล่องตัว การเลี้ยงกินตัว การผ่านบอลอันเฉียบคม สำคัญยังมีเท้าซ้ายอันทรงพลังที่พร้อมจะยิงไกลทุกครั้งเมื่อเข้าหากรอบ แม้ตำแหน่งที่ถนัดที่สุดของเจ้าตัวจะเป็น ตำแหน่ง”เพลย์เมคเกอร์” แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ยังสามารถเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์บ๊อกทูบ๊อกได้ อีกทั้งยังสามารถมาเล่นในด้านข้างได้อีกด้วย เรียกได้ว่า “ครบเครื่อง”  โดยริทสึก้าวขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุเพียง 16 ปีเท่านั้น พร้อมลงเล่นในเจลีก และเอเอฟซีแชมป์เปี้ยนส์ลีกอีกต่างหาก

 

หลังจากนั้นไม่นานเจ้าตัวก็ได้รับข้อเสนอจาก พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ยอดทีมจากเนเธอร์แลนด์ แต่ก็ยังไม่ได้ตบปากรับคำย้ายไปอย่างใด ก่อนจะอยู่ช่วย กัมบะโอซาก้า คว้าแชมป์บอลลีก เจแปน ซุปเปอร์คัพ พร้อมคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งเอเชียไปครองในปี 2016   

และเป็นอีกครั้งที่มีทีมจากเนเธอร์แลนด์ยื่นข้อเสนอมาให้กับทาง “ริทสึ” ซึ่งคราวนี้เป็นทีมโกรนิงเก้น ยื่นข้อเสนอมา และมาในคราวนี้เขาไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือไป ด้วยทางนั้น ริทสึ โดอัน ก้าวเข้ามาเป็นตัวหลักตั้งแต่ปีแรกที่ย้ายเข้ามา

 

เขาลงเล่นให้กับโกรนิงเก้นไปด้วยกันทั้งสิ้น 2 ฤดูกาล รวมทั้งสิ้น 66 นัด ทุกรายการ และทำได้ 16 ประตู 7 แอสซิสต์  แถมเจ้าตัวยังได้รับการเสนอชื่อเป็น 10 นักเตะที่เข้าชิงรางวัล “โกลเด้น บอย” (ดาวรุ่งยอดเยี่ยม ประจำปี 2018) อีกด้วย ก่อนที่รางวัลในปีนั้นจะตกเป็นของ คีเลียน เอ็มบัปเป้ ดาวเตะทีมชาติฝรั่งเศส จากปารีส แซงต์ แชร์กแมง ทีม

โดยหลังจากจบฤดูกาล 2018  ยักษ์ใหญ่ต่างๆในยุโรป ต่างต้องการลายเซ็นต์ของมิดฟิลด์เลือดซามูไรคนนี้ทั้งนั้น โดยมี ทั้ง ยูเวนตุส แอต มาหริด รวมถึง แมน ซิตี้ ที่สนใจเจ้าตัวเป็นอย่างมาก ก่อนที่เจ้าตัวจะไปลงเอย พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ทีมที่ เคยยื่นข้อเสนอมาให้ตั้งแต่เขายังอยู่ญี่ปุ่น โดยค่าตัวของเขาในครั้งนี้สูงถึง 7.5 ล้านยูโรเลยทีเดียว

ในปีหน้า 2020 ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก เจ้าตัวจะมีอายุ 22 ปี ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์แข่งขันได้ โดยเชื่อเหลือเกินว่าเจ้าตัวจะมีชื่อติดทีม พร้อมกลับมาวาดลวดลายให้กับทีมซามูไรบลู เพื่อคว้าชัยชนะในมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ

 

Hiroki Abe Fc -  ฮิโรกิ อาเบะ  Barcelona

 

หากใครเป็นแฟนการ์ตูนของ “กัปตัน ซึบาสะ” คงจะพอรู้ว่า ในภาค Road To 2002 ซึบาสะนั้นย้ายมาอยู่กับทีมบาร์เซโล น่า หลังจากที่คว้าแชมป์ฟุตบอลเยาวชนโลกมาครองได้ โดยก่อนที่จะก้าวไปเล่นในชุดใหญ่นั้นเจ้าตัวถูกจับให้มาเล่นในทีม    Barcelona B ก่อน โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องทำให้ได้ 10 ประตู 10 แอสซิสต์ จึงจะถูกเรียกกลับไปเล่นในทีมชุดใหญ่   

ในขณะเดียวกันเส้นทางของเด็กหนุ่มคนนี้อาจไม่ได้แชมป์ฟุตบอลเยาวชนโลกแบบซึบาสะ แต่อย่างน้อยดีกรีของเขาก็การันตีด้วย รางวัล เจ  ลีก รูกกี้ออฟเดอะเยียร์ 2018 พร้อมพาต้นสังกัดเก่าคว้าแชมป์ เอเอฟซีแชมป์เปี้ยนลีกส์มาครองได้ในปี 2018 อีกด้วยชื่อของเขาคือ “ฮิโรกิ อาเบะ”

 

ย้อนกลับไป 4 ปีที่แล้ว อาเบะ นั้นยังเล่นฟุตบอลอยู่กับทีมโรงเรียนมัธยมเซโตจิเพียงเท่านั้นและไม่ได้อยู่ในระบบทีมเยาวชนของเจลีกเหมือนนักเตะดังๆคนใด แต่ด้วยฝีเท้าอันก้าวกระโดดทำให้ไปเข้าตาแมวมองของ คาชิม่า แอนท์เลอร์ส อดีตแชมป์เจลีก 8 สมัย จนทำให้ได้เข้าสู่ทีมในปี 2017

ในปี 2018 อาเบะทำผลงานได้อย่างโดดเด่นสุดๆ โดยได้รับรับเลือกให้เป็นนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของเจลีก รวมถึงเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยได้ทาง คาชิม่า แอนท์เลอร์ส คว้าแชมป์ ACL เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์สโมสร

 

ด้วยฟอร์มการเล่นดังกล่าวทำให้ เจ้าตัวถูกเรียกติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยไปร่วมทัพในศึกฟุตบอลโคปา อเมริกา 2019 และได้ลงเล่นครบทั้ง 3 นัดอีกด้วย

ด้วยสไตล์การเล่นของเจ้าตัวที่เป็นปีกประเภทความเร็วสูง แข็งแกร่ง รวมถึงไปกับบอลได้ดีมาก ทำให้ไปเข้าตายอดทีมอย่างบาร์เซโลน่า และคว้าตัวไปร่วมทีมในที่สุด โดยเจ้าตัวจะถูกส่งไปเล่นกับทีม บาร์เซโลน่า บี ก่อน ซึ่งในขณะนี้เจ้าตัวลงเล่นไปแล้ว 13 นัด และยิงไปได้ 2 ประตูด้วยกัน

 

ส่วนในปีหน้าโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียวบ้านเกิดของเจ้าตัวนั้น เชื่อเหลือเกินว่าเจ้าตัวจะมีชื่อติดทัพซามูไรบลู

ในชุดแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิก และไม่แน่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็น อาเบะ จากบาร์ซ่า และ คุโบะ จากมาหริด สองนักเตะเลือดซามูไรจากสองสโมสรชั้นนำของโลก ลงเล่นร่วมกันในทีม

 

Ko Itakura - โค อิทาคุระ

 

หากใครติดตามฟุตบอลญี่ปุ่นมาโดยตลอด จะเห็นได้ว่านักเตะญี่ปุ่นที่ไปค้าแข่งในยุโรปนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทมิดฟิลด์หรือเป็นพวกตัวรุกเป็นหลัก มีน้อยนักที่เราจะเห็นเล่นนักเตะในประเภทตัวรับ หรือเซนเตอร์แบค เท่าที่เห็นและสามารถยืนระยะได้เห็นจะมีแต่ มายะ โยชิดะ , มาโกโตะ ฮาเซเบะ เพียงเท่านั้น

 

แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมาถือเป็นข่าวฮือฮาพอสมควร เมื่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จัดการคว้าตัวหนึ่งในดาวรุ่งพุ่งแรงของญี่ปุ่น ผู้มีส่วนสูงถึง 186 ซม. จากสโมสร คาวาซากิ ฟรอนทาเล่ ชื่อของเขาคือ “โค อิทาคุระ”

 

อิทาคุระ นั้นเป็นอดีตเด็กปั้นของ คาวาซากิ ฟรอนทาเล่ และหลังจากเขาถูกยืมไปเล่นกับเวลกันตะ เซนได สื่อในญี่ปุ่นก็ยกเขาให้ไปเปรียนเทียบกับ ตำนานทีมชาติญี่ปุ่นอย่าง มากาโตะ ฮาเซเบะ เลยทีเดียว ด้วยวิธีการเล่นที่คล้ายๆกันคือสามารถเล่นได้ทั้งกองกลางตัวรับและเซนเตอร์แบค ซึ่ง อิทาคุระนั้น แม้จะมีรูปร่างที่สูงใหญ่เล่นลูกกลางอากาศได้ดี ประทะกับกองหน้าต่างขาติในลีกได้อย่างโดดเด่น แต่จุดเด่นอีกอย่างของเขาก็การออกบอลเท้าสู่เท้าอย่างแม่นยำ สไลด์ได้อย่างเฉียบขาด รวมถึงเบสิคฟุตบอลที่ดีมากในแบบฉบับของกองหลังยุคใหม่ ซึ่งนั้นเป็นจุดเด่นหลักทำให้เจ้าตัวสามารถขยับขึ้นมาเป็นมิดฟิลด์ตัวรับได้อีกต่างหาก  ทำให้ อิทาคุระนั้น ผู้ซึ่งติดทีมชาติญี่ปุ่นทุกรุ่นไล่มาตั้งแต่รุ่นอายุ 16 ล่าสุดมีชื่อติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นที่เรียบร้อย

 

หนำซ้ำ ในปีนี้ยังเป็นช่วงขาขึ้นของเจ้าตัวอีกต่างหาก โดยเมื่อต้นปี แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ทำการเซ็นสัญญากับเจ้าตัวเป็นที่เรียบร้อย และได้ปล่อยยืมให้กับทีมพันธมิตรอย่างโกรนิงเก้น ในลีกเนเธอร์แลนด์ ใช้งานไปจนถึงเดือนมิถุนายนปีหน้า เนื่องจากจะยังไม่สามารถขอใบอนุญาตทำงานกับทางอังกฤษได้นั่นเอง

 

โดยในปีหน้ามหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว อิทาคุระ จะซึ่งจะมีอายุ 23 ปีพอดี เชื่อว่าทัพซามูไรบลูจะจัดการเรียกตัว อิทาคุระ มาเพื่อบัญชาแนวรับอย่างแน่แท้

 

Koji Miyoshi - โคจิ มิโยชิ

 

“เอ้ยไอนี่มันรุ่นน้องเจ ที่ซัปโปโรนิ , อ่าวไหงปีนี้มาเป็นรุ่นน้องอุ้มซะแล้ว”  คำถามคาใจสำหรับแฟนบอลไทยและเชื่อว่าคนไทยหลายๆคนเคยเรียกนักเตะคนนี้ด้วยชื่อนี้ แต่บางคนอาจจะจำชื่อเขาไม่ได้ เพราะล่าสุดนักเตะหลายฉายา(ที่คนไทยตั้งให้) ได้ไปค้าแข้งที่ยุโรปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และขอให้แฟนบอลทุกคนจำชื่อเขาไว้ให้ดี  “โคจิ มิโยชิ”   
 

มิโยชิ คืออีกหนึ่งตัวอย่างจากผลผลิตของอะคาเดมี่ทีม คาวาซากิ ฟรอนทาเล่ ก่อนที่ในปี 2018 จะถูกปล่อยยืมมาร่วมทีม   ฮอกไกโด คอนซาโดเล ซัปโปโร และได้ลงเล่นร่วมกันกับ “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินท์ ทำให้ฟอร์มทีมจากเกาะบนสุด  ของประเทศญี่ปุ่นดีมาก จนจบที่อันดับ 4 ซึ่งเป็นอันดับสูงสุดของสโมสร   
 

ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของเจ้าตัวทำให้ทาง โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส แชมป์เจลีกปีล่าสุด นำตัวเขามาเล่น โดยเจ้าตัว ลงเล่นไปทั้งสิ้น 19 นัด ทำไปได้ 3 ประตู แต่เล่นไปได้เพียงแค่ครึ่งฤดูกาลแรกเจ้าตัวก็ต้องยกเลิกสัญญา และออกเดินทาง ไปท้าทายในยุโรปในจูปิแลร์ลีก โปร หรือลีกสูงสุดของเบลเยียม ร่วมกับทีม รอยัล อันท์เวิร์ป
 

แม้เจ้าตัวจะมีรูปร่างเล็กโดยสูงเพียงแค่ 168 ซม. เพียงเท่านั้น แต่กลับกันมิโยชิมีสิ่งอื่นมาทดแทนส่วนสูงที่ขาดหายไปของของ ด้วยทักษะขั้นสูง การเลี้ยงบอลที่คล่องแคล่วว่องไว้ สปีดต้นที่จัดจ้าน การยิงประตูที่เฉียบคม และที่สำคัญคือสามารถเล่นได้อย่างถนัดถนี่ทั้งสองเท้า
 

และล่าสุดเจ้าตัวได้รับเลือกให้ติดทีมชาติซามูไรบลูชุดใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมทำ 2 ประตูสุดสวยใส่อุรุกวัยในศึก ฟุตบอลโคปา อเมริกา เมื่อกลางปีที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย

ในปีหน้า มิโยชิเองจะมีอายุครบ 23 ปี ซึ่งถือว่าตรงตามเกณฑ์ของฟุตบอลโอลิมปิกที่ญี่ปุ่นเองจะเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันครั้งนี้ รวมถึงเจ้าตัวเองก็ดคยสัมภาษณ์แล้วด้วยว่า ในโอลิมปิก 2020 นั้นเจ้าตัวจะกลับมาลงเล่นอย่างแน่นอน
 

สำหรับกีฬาฟุตบอลของญี่ปุ่นในรายการโอลิมปิกนั้น เคยทำได้ที่สุดที่คือรองแชมป์ในปี 2012 แต่ในครั้งนั้นเป็นฟุตบอลหญิง   แต่ไม่แน่ในปีหน้า พวกเขาอาจจะสามารถก้าวไปคว้าแชมป์ก็ได้ ใครจะไปรู้ ? 


stadium

author

StadiumTH Content Creator

StadiumTH Content Creator