28 กันยายน 2566
แรงผลักดัน คือหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่จะพาเราไปให้ถึงฝัน แต่แรงขับเคลื่อนของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการเดินทางของแต่ละคน สำหรับ “ต้า” สรอรรถ ดาบบัง นักกรีฑาทีมชาติไทย การก้าวข้ามคำดูถูกรวมถึงครอบครัวคอยผลักดันให้เขาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเป้าหมายในชีวิต
จุดเริ่มต้นความฝัน
"อดทนหน่อยเพราะว่าอนาคตของเรา เราจะได้เป็นแบบนี้นะ” ความในใจของยอดนักวิ่งวัย 21 ปีเจ้าของ 2 เหรียญทองซีเกมส์ 2023 ที่เขาอยากจะบอกตัวเองเมื่อ 5 ปีก่อน
“หาความสุขจากตรงนั้นให้ได้ แม้ว่าอะไรบางอย่างที่เป็นวัยรุ่นมันหายไป ถ้าย้อนกลับไปคงบอกว่า เป็นเด็กให้เต็มที่เลย ใช้ชีวิตให้สนุกให้เต็มที่เลย"
ที่เขาบอกตัวเองแบบนี้เป็นเพราะในวัยเด็ก สรอรรถ ดาบบัง หรือ ต้า เขาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความฝันในด้านกีฬา แต่มีความสามารถ วิ่งได้ไวเกินกว่าคนทั่วไปและใช้มันเพื่อด้านการเรียนเท่านั้น
"ตอนแรกผมเล่นกีฬาประเภทนี้ตอนมัธยม แต่ไม่ได้จริงจัง วิ่งเพื่อที่จะได้เรียน เพราะสอบเข้าไปด้วยโควตานักกีฬา แต่ไม่ได้จริงจัง เล่นแค่เพื่อให้ได้ไปเรียนโรงเรียนดี ๆ โรงเรียนประจำจังหวัดสิงห์บุรี ถึงม.3 ขึ้นม.4 ก็เรียนไม่จบ ย้ายไปเทคนิค คราวนี้ก็ไม่ได้เล่นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อ” ต้าเล่าความหลังถึงเหตุผลของการวิ่งในช่วงอายุ 15-16 ปี
“มีวันนึงอาจารย์ถามว่ามีใครอยากลงกีฬาอาชีวะมั้ย ผมก็เสนอตัวแล้วบอกว่าผมเคยวิ่งนะ ผมลงให้เอามั้ย เพราะด้วยความเบื่อของตัวเองด้วย การเรียนอาชีวะ เรียนเทคนิคมันไม่ค่อยได้มีอะไรทำมากมาย เรียนเสร็จก็กลับ พอมาแข่งกีฬาอาชีวะ ได้ที่ 1 ของประเทศ แล้วก็มาคัดตัวเยาวชนชิงแชมป์เอเชีย แล้วก็ติดอันดับ 1 เลยได้เข้าแคมป์ทีมชาติ"
"พอกลับมาแข่งแล้วทำได้ดี ความรู้สึกก็เปลี่ยนไปเลย เพราะผมไม่ใช่นักกีฬาตั้งแต่แรก ผมเรียนเทคนิค เรียนกับสายช่างมา”
ไม่ว่าจะวิ่งเพื่อให้ได้เข้าเรียนในโรงเรียนดี ๆ หรือวิ่งเพื่อความเป็นเลิศ ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหนก็คือการทำเพื่ออนาคตของตัวเองทั้งนั้น เพียงแต่ตอนนี้เส้นทางของต้าฝากไว้กับขาทั้งสองข้าง
พลังขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย
จากเด็กนักเรียนอาชีวะต้องมาใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนต่างถิ่นจากทั่วประเทศ พื้นฐานชีวิตที่แตกต่างรวมถึงการแข่งขันในทีมก็เข้มข้นตลอดเวลา ทำให้ต้าเริ่มต้นชีวิตในแคมป์ทีมชาติได้ค่อนข้างยากลำบาก
“ทุกคนมีความแตกต่างกันหมดเลย เข้าแคมป์มาเจอความเป็นนักกีฬาจ๋า ทุกอย่างเราต้องแข่งขัน ต้องเริ่มปรับตัวเรื่องการซ้อม เพราะอยู่ที่สิงห์บุรี ผมไม่ได้ซ้อมเลย แค่ไปวิ่งเล่นเฉย ๆ ไม่ได้ซ้อม ไม่ได้จริงจัง พอมาเข้าที่นี่ก็เริ่มซ้อมเข้มข้นขึ้น ทุกอย่างมันเริ่มหนักขึ้น ๆ จนผมหนีออกจากค่ายพัก บ่อยมาก หนีกลับบ้าน”
"เวลาเราหนีออกมาที่บ้านก็จะบอกให้กลับไปตลอด บางทีเราไม่ไหวแล้ว เข้ากับคนอื่นไม่ได้ เราเป็นเด็กช่าง การพูดคุยมันแตกต่างกัน ฝั่งนี้พูดคุยเรื่องกีฬา ฝั่งนู้นคุยเรื่องต้องส่งงานยังไง ทำรถยังไง คุยเรื่องรถ คนละแนวกัน แล้วผมเรียนมาในช่างยนต์ก็ชอบแนวนั้น เลยคุยกับพวกเขาไม่รู้เรื่อง กีฬาอะไรก็ดูไม่เป็นสักอย่าง"
โชคดีที่ครอบครัวของต้าคอยเป็นแรงผลักดันให้เขาแรงกลับไปฮึดสู้ใหม่อีกครั้ง ก่อนที่เขาจะพบจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งใหญ่ที่ไม่เคยวาดฝันไว้มาก่อน
"เขา (ครอบครัว) ไม่อยากให้ผมกลับ เพราะถ้าผมกลับไปเจอเพื่อนกลัวผมเกเรอีก อยากให้มาอยู่ในกฎระเบียบ อยากให้อยู่ตรงนี้เลย กลัวกลับไปแล้วเหลวไหล เขาก็เลยอยากให้อยู่ที่นี่ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าอนาคตตัวเองจะได้มาเป็นตัวจริงเป็นอะไรแบบนี้ด้วย"
"หลังจากนั้นผู้ใหญ่ให้โอกาสลงเดี่ยวในกีฬาชิงแชมป์ประเทศไทยครั้งแรก แล้วก็ได้ที่หนึ่งเลย ผมก็ทำได้ตามที่เขาต้องการด้วย ได้ที่หนึ่ง เราก็รู้สึกว่าตัวเองพัฒนามาไกลแล้วนะประมาณนี้ นี่เพิ่งซ้อมไม่เท่าไหร่ เราสามารถไปต่ออีกหน่อยมั้ย คิดในใจเหมือนกัน สิ่งที่ตัวเองพูดกับตัวเองในวันนั้นก็ทำได้ดีอยู่ครับ ถ้าเทียบตอนนั้นกับตอนนี้"
นอกจากการปรับที่ยากลำบากแล้ว ต้ายังต้องเจอคำกับดูถูก แต่ด้วยหัวจิตหัวใจที่เข้มแข็งจากการซึมซับความเป็นนักกีฬาที่เพิ่มขึ้น ทำให้เขาเลือกที่จะสู้ด้วยผลงานในสนาม เพื่อพิสูจน์ตัวเองและไม่หันหลังหนีเหมือนในอดีตแล้ว
"แรงผลักดันของผมคือคนดูถูก คือบางคนชอบพูดดูถูก โอเคอาจจะไม่ดูถูกด้วยคำพูด แต่สีหน้า แววตา ท่าทางเขาดูถูกเรา ผมคิดว่าเรายอมไม่ได้ เราหลุดมาจากคำว่าเกเรออกมาไกลแล้ว อยากเอาความสำเร็จไปบอกเขาว่าแบบ ก็ทำได้แล้ว"
“ที่ยังจำมาจนถึงทุกวันนี้ คือเอ็งไม่มีทางชนะพี่ได้หรอก ซึ่งผมอยากจะบอกเขาว่าตอนนี้ผมเป็นมือสองของประเทศครับ"
เป้าหมายที่ต้องทำให้ได้
ในวัย 21 ปี ต้าคว้าเหรียญทองซีเกมส์ได้ 3 เหรียญและครบทุกอีเวนต์ในฝันของนักวิ่งระยะสั้น ก็คือ 100 ม., 200 ม., และเหรีญผลัด 4x100 ม. รวมถึงเหรียญทองชิงแชมป์เอเชียจากผลัด 4x100 ม. ความสำเร็จที่เกิดขึ้นทั้งหมดใช้เวลากับทีมชาติเกือบ ๆ 2 ปีเท่านั้น เป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อจริง ๆ เมื่อมองย้อนกลับถึงชีวิตในวันเรียนของนักวิ่งคนนี้
"ถ้าย้อนกลับไปได้ผมก็ยังคงไม่จริงจังกับการวิ่งอยู่ดี ผมคิดว่าแบบนี้ดีแล้ว เรามาเล่นช้าจริง อะไรหลายอย่างต้องมาเริ่มเรียนรู้ใหม่ แต่ผมคิดว่ามันไม่ได้เสียเวลาไปมาก หรือว่าเราไม่ได้ใช้ร่างกายไปเยอะมากด้วยตอนนั้น เก็บความสดไว้ดีกว่า ผมก็คิดแบบนี้ กลายเป็นข้อดีไปสำหรับผม แต่ผมต้องพยายามมากกว่าคนอื่น ทั้งเรื่องเทคนิค เรื่องอะไรหลาย ๆ อย่าง อย่างเรื่องท่าทางการวิ่งจัดแขนจัดขา ลำตัว ผมต้องปรับใหม่หมดเรียนรู้ใหม่หมดเลย"
"ตอนนี้คือผม เป็นนักกีฬาเต็มตัวแล้ว กึ่งอาชีพ เป้าหมายถ้าเรื่องของวิ่งคือ วิ่ง กรีฑาเนี่ย เป็นกีฬาที่ต้องเอาชนะตัวเองด้วย สมมติผมทำได้ 10.37 ที่ซีเกมส์ ผมก็อยากทำเวลาให้มันลงไปกว่าเดิม จุดเดียวก็ได้ อย่างน้อยเราก็ยังได้เรียนรู้ว่าเรายังพัฒนานะ เรายังคงฟอร์มเดิมของเราได้นะ”
“แต่ฝันกับทีมคืออยากได้เหรียญ อยากพาทีมไประดับโลกให้ได้ แต่ผมคนเดียวน้อง(ภูริพล บุญสอน)คนเดียว พาทีมไปไม่ได้ ทุกคนต้องช่วยจับมือกันไป"
"อยากให้ทุกคนช่วยพาทีมไปได้เหรียญเอเชียนเกมส์ ได้เหรียญรายการแข่งต่อ ๆ ไป และหวังผ่านควอลิฟายโอลิมปิก หวังลึก ๆ แต่ไม่มากมาย คิดว่าทุกคนจะทำเต็มที่เพราะอยากไปด้วยกันหมด"
การไปให้ถึงเป้าหมายอาจต้องพึ่งองค์ประกอบหลายอย่างก็จริง แต่อย่างน้อยต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน สิ่งสำคัญคือการสร้างแรงผลักดันเพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาตัวเองให้เติบโตขึ้นในทุก ๆ วัน เพื่อไปถึงเส้นชัยแบบ ต้า สรอรรถ ดาบบัง และอย่าลืมส่งกำลังใจไปเชียร์ต้าและทัพกรีฑาไทย รวมถึงนักกีฬาไทยทุกชนิดในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 ซึ่งจะชิงชัยกันไปจนถึงวันที่ 8 ตุลาคมนี้
TAG ที่เกี่ยวข้อง