21 กรกฎาคม 2566
แม้เกิดมาในครอบครัวที่ลำบาก แต่ไม่เคยคิดจะโทษโชคชะตาต่อสู้จนสามารถคว้าเหรียญทองซีเกมส์มาครอบครอง “ฟร้อง” สุวิจักขณ์ ขุนทอง นักกีฬายูยิตสูทีมชาติไทย จุดเริ่มต้นการเล่นกีฬา มาจากการถูกรังแกที่โรงเรียน เลยอยากจะเรียนวิชาต่อสู้เอาไว้ป้องกันตัว หลังจากนั้นได้รู้จักกีฬายูยิตสูจากคำแนะนำของเพื่อน และมีโอกาสได้ลองเข้าไปซ้อมดู สุดท้ายฝึกฝนจนได้เป็นนักกีฬาเข้าไปแข่งขันในระดับจังหวัดและระดับประเทศ ต่อยอดมาถึงการก้าวไปติดทีมชาติไทย รวมไปถึงการเติบโตขึ้นมาโดยมียายเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคอยผลักดัน ให้ชีวิตเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง วันนี้ Stadium Th จะพาไปเจาะลึกชีวิตที่ไม่เคยยอมแพ้ของชายผู้นี้กัน
ชีวิตที่ไม่เคยมีง่ายในวัยเด็ก
การเป็นอยู่ของชีวิตที่ใครหลายๆคนต่างเลือกเกิดกันไม่ได้ เรื่องสิ่งแวดล้อมและสภาพสังคมก็เป็นปัจจัยหลักสำคัญเช่นกัน ซึ่งฟร้องก็คือหนึ่งในนั้น
“ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนตัวเล็กเรียกว่าผอมบางเลยก็ว่าได้ และสังคมที่อยู่ในตอนนั้นก็จะมีเรื่องชกต่อยกันอยู่เป็นประจำ ผมก็เลยมั่กจะเป็นเป้าให้ถูกรังแก เพราะว่าตัวผมเล็กกว่าคนอื่นเขา จนสุดท้ายก็มีเรื่องทำให้เราก็กลายเป็นเด็กเกเรเพราะโดนมองว่ามีปัญหาบ่อยครั้ง”
หลังจากนั้นเขาได้ถามเพื่อนในห้องเรียนที่เป็นนักมวย ว่าสามารถไปเรียนไปฝึกซ้อมด้วยได้มั้ย เพราะอยากมีวิชาฝึกป้องกันตัว จะได้ไม่โดนใครมาหาเรื่องอีก
“ผมนัดเพื่อนที่กันที่สนามมวยตอนเย็น และก็ให้แม่ขี่มอไซค์ไปส่ง แต่วันนั้นเพื่อนเขาดันไม่มา แม่ก็เลยถามผมว่าจะเอายังไงจะอยู่ต่อมั้ย ผมก็ตอบกลับไปว่า ผมอยากเล่นกีฬาต่อสู้จะเป็นกีฬาชนิดอะไรก็ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้แม่ผมเคยทำงานในกองทัพอากาศ เขาเคยเห็นคนฝึกเล่นกีฬาเทควันโดเลยพาผมไปในวันนั้น แต่พอไปถึงดันเป็นกีฬายูโด และผมก็บังเอิญเจอกับเพื่อนที่เคยมาชวนเล่นครั้งนึงแล้วเมื่อตอน ป.5 แต่ทีแรกนึกว่ามันต้องคนตัวใหญ่เท่านั้นถึงจะเล่นได้ ก็เลยไม่ได้ลอง”
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเพราะการเป็นแชมป์
พอได้เริ่มเล่นยูโดในช่วงแรก กลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้เพราะต้องฝึกพื้นฐานก่อนเช่น การตบเบาะ วิดพื้น ซิทอัพนาน ทำแบบนั้นอยู่สามเดือน แต่ในใจเขาลึกๆกลับนึกถึงการได้ต่อสู้ จนมาวันหนึ่งมีการแข่งขันยูยิตสู ถึงแม้จะซ้อมยูโดมาก่อนแต่ฟร้องกลับอยากลองเพราะต้องการลงสนามต่อสู้จริง
“ตอนนั้นผมอยู่ ม.2 มีการแข่งยูยิตสูในรุ่นน้ำหนัก 35 กก. ผมได้ลงแข่งครั้งแรกในชีวิต แล้วดันชนะคว้าเหรียญทองมาได้ ก็เริ่มติดใจในกีฬายูยิตสู ก็เลยอยู่เล่นต่อหลังจากนั้น และก้เริ่มได้ไปแข่งรายการอื่นๆบ้าง จนสุดท้ายได้เข้ามาเก็บตัวกับพี่ๆที่ กกท. ในวัยเพียง 15 ปีเท่านั้น ซึ่งนั้นก็คือจุดเริ่มต้นที่ผมวนเวียนอยู่กับคนเก่งๆในทีมชาติครับ”
“กิจวัตรของผมก็จะเป็นเช้าไปเรียน เย็นกลับมาซ้อมกับพี่ๆที่ กกท. และก็กลับไปซ้อมที่กองทัพอากาศบ้างวนๆกันไป จนวันนึงผมไปคัดทีมชาติตอน ม.4 แล้วเกิดคัดติดแถมได้ไปแข่งรายการใหญ่อย่างเอเชียนเกมส์อีกด้วย แต่ตอนนั้นผมไม่รู้นะครับ ว่ามันคือรายการที่ใหญ่มากๆ ตอนนั้นคิดว่าแค่ได้ไปแข่งต่างประเทศแค่นั้น”
แต่หลังจากกลับมาใครจะรู้ว่าเหมือนเป็นการจุดไฟในตัวเด็กหนุ่ม แม้ผลงานในเอเชียนเกมส์ไม่ได้สวยหรูนัก แต่มันก็พอที่จะทำให้ฟร้องมีประสบการณ์และอยากจะเอาชนะ จนได้ไปแข่งรายการชิงแชมป์โลกยู-18 และเขาก็ระเบิดฟอร์มตัวเองสามารถคว้าเหรียญทองในรายการใหญ่มาครองให้กับตัวเอง
ผู้อยู่เบื้องหลังที่ทำให้เดินทางมาถึงวันนี้
เกิดมาในครอบครัวที่ลำบาก อยู่กับยายมาตั้งแต่เด็กต้องดิ้นรนชีวิตให้ดีขึ้น แต่ทุกอย่างที่มีในวันนนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีคนคอยผลักดันให้ไปถึงดวงดาว
“ผมเกิดที่กรุงเทพ แต่ว่ายายอยู่นครสวรรค์ ยายเลยพาผมไปอยู่ต่างจังหวัดด้วย ไปอยู่ไร่อยู่สวนคือที่ยายเขาซื้อที่ไว้ แล้วก็สร้างบ้านเองมีแค่อิฐบล็อก ฉาบปูน กับประตูแล้วก็หลังคาแค่นั้นเลยครับ ไม่ได้ทาสีอะไร ส่วนผมในตอนนั้นก็ตกปลา เก็บมะม่วง เข้าป่าไปหาหน่อไม้ เพื่อหาเงินเพื่อจะมาช่วยยายได้บ้างเล็กๆน้อยๆ แต่ตอนนั้นไม่ได้มองว่ามันลำบากนะครับ อาจจะเพราะยังเด็กมาก รู้แค่ว่าสนุกในแต่ละวันก็เท่านั้น”
ต่อมาเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงก็ได้เกิดขึ้น เนื่องจากตอนนั้นน้ำท่วม ทำให้ยายตัดสินใจขายที่ ทางต่างจังหวัดตรงนั้นเพื่อพาหลานเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ
“พอย้ายมาที่นี่ ยายผมเขาไปขับวินเลี้ยงผมกับน้องสาวครับ เช้ามายายก็จะไปส่งผมไปโรงเรียนแล้วก็ไปขับวินมอไซค์ เป็นแบบนั้นอยู่หลายปี เพราะตอนนั้นผมยังไม่เริ่มเล่นกีฬา จนวันที่ผมติดทีมชาติ ก็เริ่มได้เงินเดือนมาตอบแทนยายคืนบ้าง พอแข่งชนะไปเรื่อยๆก็ได้เงินรางวัล ผมก็เลยขอกับยายว่าเลิกขับวินได้มั้ย เดี๋ยวผมจะเลี้ยงยายเอง แต่แรกๆเขาก็ยังไม่เลิกนะครับ (หัวเราะ ยิ้มๆ) จนสุดท้ายยายรู้ว่าผมดูแลได้ ก็เลยยอมเลิกขับวินครับ”
ฟร้องปิดท้ายว่า “อยากขอบคุณยายครับ ผมมียายเป็นทุกๆอย่างตั้งแต่วันแรกที่เกิดมา ไม่ว่าจะอยากได้อะไรหรือไปโรงเรียน ยายก็เป็นคนจัดการให้ตลอดมา วันนี้ผมมีแรงมีกำลังก็อยากตอบแทนยายให้ดีแบบที่เค้าเลี้ยงผมมาครับ”
เหรียญทองนี้แด่คุณยาย
มีภาพประกอบเนื้อข่าวที่เป็นรูปนักกีฬาคนนึงร้องไห้เพราะตื้นตันใจ ที่ตัวเองสามารถคว้าเหรียญทองมาครองได้สำเร็จในการแข่งขันซีเกมส์ ที่กัมพูชา ซึ่งคนๆนั้นก็คือฟร้องนั่นเอง
“ก่อนที่จะเดินทางไปแข่งซีเกมส์ครั้งนี้ ผมให้ยายกับแม่นั่งบนเก้าอี้ แล้วผมก็ได้ก้มกราบท่านทั้งสองคน และก็ให้คำมั่นสัญญาไว้ว่า หากผมได้เหรียญทองจากการแข่งขันครั้งนี้ ผมจะเอาเงินรางวัลที่ได้มาไปบวชให้กับทั้งสองคนนะ ซึ่งในรอบชิงก็ไม่ใช่งานง่ายครับ เพราะคู่แข่งที่ผมเจอมาทั้ง 4 คนก็ตัวเต็งทั้งนั้น แต่ก็สามารถคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ”
“หลังจากนั้นน้ำตาผมก็ไหลเลยครับ ไม่คิดว่าจะทำได้ ถึงแม้ว่าจะหวังให้มันเกิดขึ้นก็ตาม คือระหว่างผมแข่งผมนึงถึงแต่ยายตลอดเลยครับ เพราะผมอยากทำมันให้ได้ ซึ่งก็ตกใจที่ตัวเองร้องไห้เหมือนกัน แต่จังหวะนั้นมันก็กลั้นไม่ไหวจริงๆ ดีใจมากๆครับ”
แต่เป้าหมายของเขายังไม่จบลงแค่นี้ ฟร้องเตรียมพร้อมจะพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในเอเชียนเกมส์ ที่หางโจว หนนี้ เพราะว่าตอนที่ไปแข่งครั้งแรกครั้งนั้นยังไม่มีประสบการณ์ ตอนนี้เริ่มสะสมวิชามาเรื่อยๆ ตั้งเป้าอยากจะคว้าเหรียญมาฝากครอบครัว และแฟนๆชาวไทย และนี่เป็นเรื่องราวของฟร้อง สุวิจักขณ์ ขุนทอง นักกีฬายูยิตสูทีมชาติไทย
TAG ที่เกี่ยวข้อง