1 พฤษภาคม 2565
ถ้าพูดถึงยอดนักแบดหญิงในปัจจุบัน ไท่ ซื่อ หยิง คือหนึ่งแนวหน้าของโลก เพราะนักตบลูกขนไก่ชาวไต้หวัน คว้าแชมป์มาได้เกือบหมดแล้วไม่ว่าจะเป็น เวิลด์ ซูเปอร์ซีรี่ส์ ไฟนัลส์, ออลอิงแลนด์, แชมป์เอเชีย และเอเชียน เกมส์ รวมถึงการขึ้นเป็นมือ 1 ของโลกอย่างยาวนาน ขาดก็เพียงรายการใหญ่อย่าง โอลิมปิก เกมส์ และชิงแชมป์โลกเท่านั้น
ความผิดหวังซ้ำเล่าซ้ำเล่าทำให้เธอท้อและเคยประกาศจะเลิกเล่นมาแล้ว แต่กลับมาสู้ต่อเพื่อทำความฝันได้สำเร็จ และการป้องกันแชมป์ เอเชียน เกมส์ เป็นหนึ่งในเป้าหมายของเธอในปีนี้ ส่วนเรื่องราวที่่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้างนั้น ติดตามได้ที่นี่
จากลูกนักดับเพลิง สู่นักกีฬาความหวังของประเทศ
เมื่อเทียบกับ ไท่ หนาน ไค่ ผู้เป็นพ่อแล้ว ไท่ ซื่อ หยิง จัดว่ามีอาชีพที่ปลอดภัยกว่าและรายได้สูงกว่ามาก เมื่อเธอเป็นนักแบดมินตัน ขณะที่พ่อเคยเป็นนักดับเพลิงที่มีรายได้เฉลี่ยเหมือนกับคนทั่วไป
โชคดีที่ครอบครัวของเธอคลั่งไคล้แบดมินตันแบบเข้าเส้น และด้วยความที่ไม่ต้องการให้ลูกก้าวตามเส้นทางอาชีพแสนอันตรายเหมือนตัวเอง ไท่ หนาน ไค่ ที่เป็นระดับผู้อำนวยการสมาคมแบดมินตันของเมืองเกาสงจึงพาลูกไปคลุกคลีกับกีฬาลูกขนไก่ตั้งแต่เด็ก
"พ่อแม่ไม่อยากให้ฉันทำอะไรที่เสี่ยงอันตราย เลยพาไปเล่นแบดมินตันตั้งแต่ที่พวกเขาเล่นเป็นงานอดิเรก ฉันเข้าใจดีว่าอาชีพของพ่อต้องเจอกับอะไรบ้าง ซึ่งมันช่วยสอนให้ฉันไม่รู้จักยอมแพ้ ฉันได้เรียนรู้ว่าไม่ว่าสถานการณ์จะยากลำบากสักเพียงใด ฉันก็จะสู้จนถึงที่สุด"
ด้วยพรสวรรค์ที่เปล่งประกาย ไท่ ซื่อ หยิง กลายเป็นนักแบดแถวหน้าของประเทศตั้งแต่อายุ 12 ปี ขณะที่สหพันธ์แบดมินตันโลกรับรองผลการแข่งของเธอตั้งแต่ต้นปี 2007 หรือตอนอายุแค่ 13 ปีเท่านั้น
และ 4 ปีต่อมา ไท่ ซื่อ หยิง ในวัย 17 ปี ก็สร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นไปอีก เมื่อคว้าแชมป์ระดับกรังด์ปรีซ์โกลด์รายการ ยูเอส โอเพ่น
นับตั้งแต่รายการนั้น กราฟอาชีพของเธอก็ไม่มีลูกศรชี้ลงอีกต่อไป
จอมสร้างประวัติศาสตร์
แม้จะอายุแค่ 18 ปี แต่ด้วยฝีมือที่ขึ้นไปถึงอันดับ 13 ของโลก ไท่ ซื่อ หยิง ก็ได้เข้าร่วมแข่ง โอลิมปิก เกมส์ ที่กรุงลอนดอน ในฐานะมือ 10 ของรายการ เธอผ่านรอบแบ่งกลุ่มหลังจากชนะทั้ง 2 เกม แต่ตกรอบ 16 คนสุดท้ายด้วยน้ำมือของ หลี่ เสี่ยวเร่ย ที่ก้าวไปคว้าเหรียญทองในภายหลัง
สิ่งแตกต่างอย่างหนึ่งระหว่างนักกีฬาชั้นนำกับนักกีฬาทั่วไปคือสามารถกลับมาจากความผิดหวังได้อย่างรวดเร็ว และ ไท่ ซื่อ หยิง ก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้กลับจากกรุงลอนดอนมือเปล่า แต่เธอก็มาคว้าแชมป์ เจแปน โอเพ่น ในเดือนถัดมาได้ทันที กลายเป็นนักแบดหญิงเดี่ยวอายุน้อยที่สุดที่คว้าแชมป์ซูเปอร์ซีรี่ส์ (ก่อนจะถูก อากาเนะ ยามากูชิ ทำลายสถิติในภายหลัง)
2 ปีต่อมา ไท่ ซื่อ หยิง ก็สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง หลังกลายเป็นนักแบดไต้หวันคนแรกที่คว้าแชมป์ทัวร์นาเมนต์ปิดท้ายฤดูกาลอย่าง เวิลด์ ซูเปอร์ซีรี่ส์ ไฟนัลส์ ก่อนที่จะทำได้อีกครั้งในปี 2016 ซึ่งเป็นหนึ่งในปีแห่งความทรงจำ
ในปีนั้น ถึงแม้จะถูกอดีตตามมาหลอกหลอนใน โอลิมปิก เกมส์ ที่ ริโอ ด้วยการตกรอบ 16 คน เพราะแพ้ พีวี สินธุ อย่างชอกช้ำ แต่เธอก็มาเร่งเครื่องช่วงปลายปี รวมถึงการคว้าแชมป์ซูเปอร์ซีรี่ส์ รายการ ฮ่องกง โอเพ่น จนทำให้อันดับขยับขึ้นมาเป็นมือ 1 ของโลกได้เป็นครั้งแรกในวันที่ 1 ธันวาคม ก่อนที่จะฉลองตำแหน่งด้วยการคว้าแชมป์ เวิลด์ ซูเปอร์ซีรี่ส์ ไฟนัลส์ เป็นสมัยที่ 2 ตามด้วยแชมป์ออลอิงแลนด์ในปี 2017 รวมทั้งแชมป์เอเชียในปีเดียวกัน และมาคว้าเหรียญทองเอเชียน เกมส์ ในปีต่อมา
นับตั้งแต่นั้น ไท่ ซื่อ หยิง ก็ไม่เคยหลุดจากการเป็นมือวาง 4 อันดับแรกของโลกอีกเลย
อาถรรพ์รายการใหญ่
ฝีมือและความสำเร็จของ ไท่ ซื่อ หยิง ไม่มีใครโต้แย้ง ติดอยู่แค่ 2 รายการใหญ่ที่เธอยังไม่เคยไปถึงจุดสูงสุด นั่นก็คือแชมป์โลก และเหรียญโอลิมปิก
ก่อนจะถึง โตเกียว 2020 เธอลงแข่งทั้ง 2 รายการรวม 7 ครั้ง ไท่ ซื่อ หยิง ไม่เคยไปไกลกว่ารอบก่อนรองชนะเลิศ โดยใน โอลิมปิก เกมส์ หยุดอยู่แค่รอบ 16 คนทั้ง 2 ครั้ง ส่วนการลงแข่งชิงแชมป์โลก 5 ครั้งก็ตกรอบ 8 คนสุดท้ายทั้งหมด
นอกจากนั้น ขนาดตอนฟอร์มพีกจัดในปี 2017 ที่เธอจะได้เป็นมือ 1 ของรายการ ไท่ ซื่อ หยิง กลับติดภารกิจต้องคว้าเหรียญทองให้ชาติบ้านเกิดที่เป็นเจ้าภาพกีฬามหาวิทยาลัยโลกช่วงเดียวกันพอดี ทำให้ต้องถอนตัวจากศึกชิงแชมป์โลก ซึ่งแม้จะคว้า 2 เหรียญทองได้ตามเป้าหมายของสมาคมแบดไต้หวัน แต่เทียบไม่ได้เลยกับโอกาสใกล้เคียงที่เธอจะเป็นแชมป์โลกหนแรก
2021 ปีที่เข้าใกล้ความฝันไปอีกขั้น
ในปี 2019 ไท่ ซื่อ หยิง ประกาศช็อกโลกว่า เธอจะแขวนแร็กเก็ตหลังจบ โอลิมปิก เกมส์ ที่กรุงโตเกียว ในปี 2020 ไม่ว่าผลงานจะเป็นอย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะแก้ข่าวในภายหลังว่า มีการคิดถึงเรื่องรีไทร์จริง ๆ แต่ยังไม่ตัดสินใจ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เธอคิดมาตั้งแต่ ริโอ เกมส์ แล้วว่า ตัวเองคงไม่สามารถเล่นไปได้ถึง โอลิมปิก ปี 2024
อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสทำให้การแข่งขันปี 2020 ต้องยกเลิกและหยุดชะงักไปนานหลายเดือน รวมทั้ง โอลิมปิก เกมส์ ที่ต้องเลื่อนไปเป็นปี 2021 ชนกับศึกชิงแชมป์โลก ซึ่งส่งผลในแง่บวกให้ ไท่ ซื่อ หยิง มีเวลาคิดและเตรียมความพร้อมสำหรับ 2 รายการใหญ่ที่เธอยังทำไม่สำเร็จเพิ่มมากขึ้น และมีโอกาสเปลี่ยนใจเรื่องการแขวนแร็กเก็ตเช่นกัน
เมื่อมีเวลาและการเตรียมตัวมากกว่าเดิม ไท่ ซื่อ หยิง ก็เกือบทำความฝันได้สำเร็จ เมื่อเธอเข้าถึงรอบชิงฯ ทั้งสองรายการ ซึ่งแม้ได้เพียงรองแชมป์ (โอลิมปิกแพ้ เฉิน ยู่ เฟย ส่วนชิงแชมป์โลกแพ้ อากาเนะ ยามากูชิ) แต่ก็ทำให้มีกำลังใจกลับมาสู้ต่อไป
ปี 2022 ไท่ ซื่อ หยิง ลงแข่งแบบผ่อนคลายมากขึ้นเพราะรู้ว่าตัวเองยังมีโอกาสทำความฝันได้สำเร็จ เธอคว้าแชมป์ไป 3 รายการ และเข้าถึงรอบชิงเวิลด์ ทัวร์ ไฟนอลส์ รวมทั้งคว้าเหรียญทองแดงชิงแชมป์โลก ซึ่งเป็นกำลังใจที่ดีสำหรับการสู้ศึกปี 2023
แชมป์เอเชียสมัยที่ 3 กับการเดินทางสู่บทสุดท้ายในอาชีพ
ปี 2023 ในช่วง 3 เดือนแรก ไท่ ซื่อ หยิง ทำผลงานดีที่สุดคือการผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ มาเลเซีย โอเพ่น และออลอิงแลนด์ ด้วยความที่คู่ปรับสำคัญอย่าง อากาเนะ ยามากูชิ และอัน เซยอง ต่างทำผลงานได้แข็งแกร่ง ผลัดกันคว้าแชมป์รวมทั้งยึดมือ 1-2 ของโลกไว้อย่างเหนียวแน่น
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุเรื่องฟอร์มการเล่น หรือสภาพร่างกาย พอถึงต้นเดือนเมษายน ไท่ ซื่อ หยิง ก็ได้ตัดสินใจประกาศเรื่องสำคัญคือ โอลิมปิก ปี 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จะเป็นทัวร์นาเมนต์สุดท้ายในอาชีพของเธอ
"ฉันวางแผนรีไทร์ช่วงปลายปีหน้า" ไท่ ซื่อ หยิง เปิดเผยกับ ซีเอ็นเอ สำนักข่าวดังในบ้านเกิด "มันคือบทสรุปถึงแม้เธออาจลงแข่งต่อไปได้ก็ตาม"
"เวลานี้ฉันตั้งใจดื่มด่ำกับทุกช่วงเวลาที่เหลืออยู่ในสนามอย่างเต็มที่ แต่ก็คิดว่าอาจจะเล่นจนถึงจบฤดูกาลหน้าด้วยเช่นกัน"
"ฉันอยากพักแม้ยังแข่งต่อไปไหว"
หลังจากเคลียร์เส้นทางอนาคตของตัวเอง ไท่ ซื่อ หยิง ก็กลับมาคืนฟอร์มเก่งอีกครั้งในศึกชิงแชมป์เอเชีย 2023 เมื่อปราบทั้ง เหอ ปิง เจียว, อากาเนะ ยามากูชิ และอัน เซยัง คว้าแชมป์สมัยที่ 3 ไปครองได้สำเร็จ
ถึงแม้ว่าเธอจะสานต่อจากฟอร์มที่ดูไบไม่ได้ เพราะไม่สามารถเข้าถึงรอบชิงได้เลยในรายการต่อ ๆ มา แต่ช่วงเวลาที่เหลือนับจากนี้น่าสนใจเหลือเกินว่า หนึ่งในนักแบดมินตันหญิงระดับว่าที่ตำนานรายนี้จะจบเส้นทางชีวิตได้สวยงามแค่ไหน
TAG ที่เกี่ยวข้อง