stadium

โยนความฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง "ปั้น" ธีร์กวิน เจียรธีรวิทย์

17 กุมภาพันธ์ 2568

ในเส้นทางของนักกีฬาทีมชาติไทย หลายคนอาจเติบโตมากับกีฬาที่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอยู่แล้ว แต่สำหรับ "ปั้น" ธีร์กวิน เจียรธีรวิทย์ เรื่องราวของเขาแตกต่างออกไป เพราะกีฬาที่นำพาเขาสู่เวทีระดับนานาชาติ คือ "เคิร์ลลิ่ง" กีฬาฤดูหนาวที่ยังใหม่สำหรับประเทศไทย

 

ใครจะคิดว่าเด็กไทยคนหนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นนักกีฬาทีมชาติในกีฬาที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคย? จากจุดเริ่มต้นที่ไม่มีแม้แต่ความคิดว่าจะเดินบนเส้นทางนี้ วันนี้เขากลายเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่ช่วยเปิดประตูให้กับทีมชาติไทย สู่เวที Asian Winter Games Harbin 2025 ที่ประเทศจีน

 

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการแข่งขัน แต่มันคือเรื่องราวของ ความกล้า การก้าวข้ามขีดจำกัด และการพิสูจน์ให้เห็นว่า ความฝันเป็นจริงได้ แม้จะอยู่ในเส้นทางที่ไม่มีใครเคยเดินมาก่อน แล้วอะไรที่ทำให้เขามาถึงจุดนี้? ติดตามไปพร้อมกัน...

 

 

จากเจ้าหน้าที่สมาคม สู่เส้นทางนักกีฬาเคิร์ลลิ่งทีมชาติไทย

 

บางครั้ง จุดเริ่มต้นของเส้นทางใหม่ก็มาจากโอกาสเล็กๆ ที่คาดไม่ถึง สำหรับ "ปั้น" ธีร์กวิน เจียรธีรวิทย์ ทุกอย่างเริ่มต้นจากการได้เข้ามาทำงานที่ สมาคมเคิร์ลลิ่งแห่งประเทศไทย

 

ในทุกๆ สัปดาห์ ลานน้ำแข็งที่เขาทำงานอยู่เต็มไปด้วยผู้คนที่มาเล่นเคิร์ลลิ่ง บรรยากาศของกีฬาใหม่ชนิดนี้ทำให้เขารู้สึกสนใจ และเมื่อมีโอกาส เขาก็ลองจับไม้กวาดและโยนสโตนดูบ้าง จากแค่ความสนุก กลายเป็นความท้าทายที่ทำให้เขาติดใจกีฬาชนิดนี้โดยไม่รู้ตัว

 

"ก่อนหน้านี้ผมเป็นเจ้าหน้าที่ของสมาคมเคิร์ลลิ่งฯ และทุกสัปดาห์ก็จะมีคนเข้ามาเล่นอยู่แล้ว เราก็เลยได้ลองเล่นดูบ้าง รู้สึกว่าเป็นกีฬาที่สนุกดี หลังจากนั้นก็ติดใจเล่นยาวมาถึงทุกวันนี้ครับ"

 

ใครจะคิดว่าจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ นี้ จะพาเขามาสู่การเป็นนักกีฬาทีมชาติไทย แต่เส้นทางของเขาไม่ได้ง่าย เพราะกีฬาบนน้ำแข็งไม่ใช่เรื่องคุ้นเคยสำหรับคนไทย

 

"เมื่อก่อนเราเคยเห็นกีฬาเคิร์ลลิ่งผ่านช่องทางออนไลน์บ้าง แต่ไม่เคยรู้กติกาจริงๆ พอได้ลองเล่นครั้งแรกจำได้เลยว่ามันยากมาก ทรงตัวก็ไม่อยู่ เล่นสเก็ตก็ไม่เป็น ทุกอย่างต้องเริ่มจากศูนย์ ทั้งท่าทาง การบาลานซ์ มันไม่ง่ายจริงๆ ครับ"

 

หลังจากที่ได้มีชื่อติดทีมชาติไทย ความฝันที่เคยดูห่างไกล กลายเป็นความจริง แต่สำหรับ "ปั้น" นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความท้าทายครั้งใหม่ "ผมรู้สึกเป็นเกียรติและก็ตื่นเต้นไปด้วยครับ เพราะเรารู้สึกว่าถ้าได้โอกาสมาแล้ว ก็อยากที่จะทำออกมาให้ดีที่สุด ไม่ว่าเราจะลงไปเจอสถานการณ์แบบไหน เราก็จะต้องสู้เพื่อทีมชาติไทย"

 

การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่แค่การพิสูจน์ตัวเอง แต่ยังเป็นการผลักดันเคิร์ลลิ่งไทยให้ก้าวไปข้างหน้า และนี่คือจุดเริ่มต้นของความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เคย

 

 

การจับคู่ฮีโร่โอลิมปิกเกมส์

 

ใครจะคิดว่าเส้นทางของ "ปั้น" ธีร์กวิน จะพาเขามาจับคู่กับ "เล็ก" ชนาธิป ซ้อนขำ อดีตนักเทควันโดทีมชาติไทย เจ้าของเหรียญทองแดงโอลิมปิกเกมส์ ในการแข่งขันเคิร์ลลิ่งประเภทคู่ผสม จากนักกีฬาต่างสายพันธุ์ สู่การร่วมทีมกันบนลานน้ำแข็ง นี่ไม่ใช่แค่การจับคู่ของนักกีฬา แต่ยังเป็นการรวมตัวของสองความสามารถที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งในเรื่องประสบการณ์และทักษะที่แต่ละคนมี

 

“จริงๆแล้วผมรู้สึกเป็นเกียรติกับตัวผมนะครับ เพราะว่าเราทั้งสองคนเรียนที่เดียวกันที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา แต่ว่าไม่ได้รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนนะครับ เพราะว่าน้องเป็นนักกีฬาทีมชาติตั้งแต่ตอนเรียน มีชื่อเสียงอยู่แล้วด้วย อีกอย่างเล็กเป็นนักกีฬาที่เก่งมาก พอได้มาเล่นด้วยกันผมก็รู้สึกว่า เขาเป็นนักกีฬาจริงๆ แบบว่ามีวิธีการด้านจิตวิทยา หรือประสบการณ์ที่เขาเคยแข่งในระดับโอลิมปิกเกมส์มาแล้ว พอปรับมาเล่นเคิร์ลลิ่งเล็กปรับตัวได้เร็ว ร่างกายพื้นฐานเป็นคนแข็งแรงมากๆด้วย ทำให้เรียนรู้ได้ไว พอมาเล่นด้วยกันก็รู้สึกประทับใจ และรู้สึกโชคดีมากๆด้วยครับที่ได้เล่นคู่กัน” 

 

ปั้นยังกล่าวถึงความสำคัญของการเล่นในประเภทคู่ผสม โดยเน้นถึงบทบาทของทีมเวิร์ค ที่เป็นหัวใจหลักของการประสบความสำเร็จ 

 

“ทีมเวิร์คเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งเลยครับ เพราะว่าเรามีกันแค่สองคน การสื่อสารระหว่างเราจึงต้องชัดเจน ตลอดการแข่งขัน เราต้องคอยพูดคุยกันว่า ลูกนี้เราควรจะเล่นแบบไหน หรือมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้ได้คะแนน”

 

เขายังเสริมถึงความแตกต่างระหว่างประเภทคู่ผสมกับประเภททีมว่า “ในประเภททีมจะมีคนช่วยขัดลูกหินได้หลายคน แต่ในคู่ผสม เราต้องปล่อยลูกหินออกไปเอง แล้วบางครั้งอาจจะต้องลุกขึ้นมาขัดเอง อีกคนก็จะคอยบอกทิศทางและแก้ไขสถานการณ์ ดังนั้นทีมเวิร์คจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำเราไปสู่ชัยชนะ”

 

 

ความต่างระหว่างสนามซ้อมกับสนามจริง

 

อย่างที่เราทราบกันดีว่า ประเทศไทยของเรามีสภาพอากาศร้อนตลอดทั้งปี ไม่มีหิมะตกเหมือนประเทศในแถบหนาว ที่สำคัญก็คือ กีฬาที่เกี่ยวข้องกับน้ำแข็งอย่าง เคิร์ลลิ่ง ต้องการสนามที่มีอุณหภูมิต่ำสุดๆ เพื่อให้การเล่นเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ การจะฝึกซ้อมในสภาพที่เหมือนสนามแข่งจริงจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จึงมีข้อแตกต่างจากสนามจริงอยู่ไม่น้อย

 

“ช่วงพฤศจิกายนปีที่แล้ว ทาง ดร.เก๋ สุวรรณา ศิลปอาชา นายกสมาคมเคิร์ลลิ่งฯ ได้พาทีมไปลองเก็บตัวที่ประเทศเกาหลีใต้ และได้ลองเล่นสนามจริงที่เขาใช้แข่งขันรายการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรายการชิงแชมป์โลก ซึ่งสนามแข่งขันจริงมีความแตกต่างกับลานสเก็ตที่เราไว้ซ้อมพอสมควร น้ำแข็งที่ใช้ทำลานของเคิร์ลลิ่ง มันต้องใช้น้ำที่บริสุทธิ์เลยครับ ไม่มีค่ากรดด่าง ต้องผ่านน้ำยาแล้วเอามาลง ทำให้มันแบนตั้งแต่แรก เพ้นท์ก่อนแล้วค่อยลงน้ำแข็ง ความเรียบมันเลยต่างแตกกันอย่างสิ้นเชิงเลยครับ”

 

“ถ้าให้พูดถึงฟิลลิ่งการเล่น ก็ไม่ใกล้เคียงกันครับ เหมือนการเล่นในลานสเก็ตเราจะเน้นไปฝึกทางด้าน การบาลานซ์ การทรงตัว ส่วนฟิลลิ่งที่คิดว่าลูกจะไปแบบไหน เราต้องไปฝึกที่ลานจริงเท่านั้น เพราะว่าความเฉื่อย เรื่องแรงเสียดทานพวกเนี่ย มันไม่เหมือนกันเลยครับ 

 

 

หมากรุกบนลานน้ำแข็ง

 

ปั้น บอกว่าการเล่นเคิร์ลลิ่งไม่ต่างจากกีฬาชนิดอื่นๆ ที่ต้องใช้ทั้งทักษะและความคิดในการเล่น แม้จะดูเหมือนเป็นกีฬาที่เน้นการใช้ร่างกายบนลานน้ำแข็ง แต่จริงๆ แล้วการเล่นเคิร์ลลิ่งต้องมีการวางแผนที่รอบคอบ และการตัดสินใจที่แม่นยำในแต่ละช่วงเวลา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนที่หลายคนอาจจะคิด

 

“เคิร์ลลิ่ง อาจจะมีความคล้ายกับกีฬาเปตอง แต่จริงๆแล้วในศัพท์ของคนยุโรป เขาเรียกกันว่า "Chess on ice" เหมือนเป็นหมากรุก ไม่ใช่แค่เราเอาลูกหินไปแค่ที่เป้าหมาย เพราะแต่ละคนจะมีการคิดและวางแผนเรื่องการ ปล่อยลูกก่อนและหลัง การวางกลยุทธ์จึงสำคัญมาก ว่าเราจะกันเขายังไง หรือลูกเขาอยู่ด้านใน เราจะทำยังไงให้เราได้แต้มกลับออกมา เสน่ห์ของเคิร์ลลิ่งเลยอยู่ที่การชิงไหวพริบกัน เลยทำให้กีฬาชนิดนี้สนุกครับ”

 

ในอนาคต ปั้นและทีมเคิร์ลลิ่งทีมชาติไทยจะยังผลักดันให้กีฬานี้เติบโตและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง พวกเขาคือเจนแรกที่ไม่เพียงพากีฬานี้สู่เวทีระดับโลก แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนไทยรุ่นใหม่ที่มีความฝันในกีฬา การเดินทางของพวกเขายังเพิ่งเริ่มต้น และจะเป็นเสาหลักสำคัญในการส่งเสริมกีฬาเคิร์ลลิ่งในประเทศไทยอย่างแน่นอน


stadium

author

อดิศักดิ์ คูวัฒนากุล

StadiumTH Content Creator